‘ปชป.’จี้‘รบ.คสช.’เปิดกว้างวิจารณ์‘ร่างรธน.’ได้เต็มที่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160207/221979.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559
‘ปชป.’จี้‘รบ.คสช.’เปิดกว้างวิจารณ์‘ร่างรธน.’ได้เต็มที่

“ปชป.” จี้ “รบ.คสช.” เปิดกว้าง วิจารณ์ ร่างรธน. ได้เต็มที่ ชี้ เป็นประโยชน์ ประชาชน พิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับ พร้อมชู 5 จุดเด่น ปราบโกง

          วันที่ 7 ก.พ.59 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเรียกข้องรัฐบาลและ คสช.ควรเปิดกว้างให้สามารถวิพากย์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการพิจารณาและเห็นเนื้อหาอย่างรอบด้าน จากมุมมองของกลุ่มต่างๆ รวมถึงกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะได้นำจุดเด่นจุดด้อยมาปรับปรุงแก้ไขให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เกิดความสมบูรณ์ และประชาชนจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อีกทั้งจะสร้างกระแสตื่นตัวและส่งผลให้เกิดความสนใจในการลงประชามติ ดีกว่าปิดกั้นหรือหาทางทำให้ความสนใจร่างรัฐธรรมนูญลดลง ดังนั้น รัฐบาลและ คสช.ควรปูทางด้วยบรรยากาศที่สร้างสรรค์ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นกลางปี 2560
          นายองอาจ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นมีจุดเด่นและจุดด้อยพอสมควร ส่วนที่เด่นที่เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเพิ่มเติมหรือแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ คือ เรื่องการป้องกันและปรามปรามทุจริต ซึ่งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ได้บัญญัติไว้ในหลายมาตรา ได้แก่ 1.ในม.47 บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย โดยต้องไม่ร่วมมือ สนับสนุนในทุกรูปแบบ และใน ม.59 รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ประชาชนถึงอันตรายของการทุจริต ทั้งในภาครัฐ เอกชน และต้องจัดให้มีมาตราการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบ
          2.โครงสร้างรัฐสภาและนิติบัญญัติ ได้บัญญัติไว้หลายมาตราอย่างเข้มข้นในการกลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่ รวมถึงยังเข้มงวดในการพิจารณางบประมาณ การเงินการคลังของสมาชิกรัฐสภามากขึ้น  3.กลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่ในโครงสร้างการบริหารภาครัฐเข้มงวดขึ้น มีโอกาสถูกตรวจสอบจากหลายช่องทาง
          4.หลายมาตราที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่น ให้มีอำนาจในการป้องกันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และ5. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มักถูกวิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใส แต่ร่างฉบับนี้บัญญัติถึงหลักเกณฑ์วิธีการเลือกตั้งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งจุดเด่น 5 ประการนี้จะทำให้การคอร์รัปชั่นเบาบางลง แต่การจะปฏิบัติให้สำเร็จได้อยู่ที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จึงขอฝาก กรธ. หวังว่าจะทำกฎหมายดังกล่าวให้ศักดิ์สิทธิ์ เข้มข้น สอดคล้องร่างรัฐธรรมนูญ
          นายองอาจ กล่าวว่า อีกประเด็นที่น่าสนใจ และหาก กรธ.ปรับแก้ไขจะเป็นประโยชน์มากกว่าปล่อยให้บังคับใช้ต่อไปในอนาคตคือ ไม่ควรให้อำนาจประธานรัฐสภาพิจารณาข้อกล่าวหา กรณีมีการร้องเรียนกรรมการ ป.ป.ช. ว่าร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง เพียงคนเดียว ก่อนนำหลักฐานอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ส่งถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานศาลฎีกา แต่ควรให้พิจารณาเป็นองค์คณะ
          “เราไม่ควรให้ประธานรัฐสภาคนเดียวมีหน้าที่พิจารณาเรื่องข้อกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช.ว่ามีความผิดตามกฎหมายข้อใด ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรให้มีการพิจารณาเป็นองค์คณะจากภาคส่วนต่างๆ กรธ.อาจพิจารณาเป็น 3 หรือ 5 คน น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะถ้าให้ประธานรัฐสภาพิจารณาคนเดียว เบื้องต้นกว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานศาลฎีกา อาจมีการวิ่งเต้นให้ประธานรัฐสภาพิจารณาว่า กรรมการ ป.ป.ช.ที่ถูกกล่าวหาไม่มีหลักฐานเพียงพอเสียตั้งแต่ต้น ประธานรัฐสภาคนเดียวอาจวินิจฉัยเบื้องต้นได้เลยว่า ที่ ส.ส. ส.ว. หรือประชาชน ลงชื่อกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช. ว่าไม่มีมูล ก็จบไม่ต้องส่งต่อให้ใครทั้งสิ้น ผมคิดว่ามันไม่น่าจะถูกต้องที่ให้คนคนเดียวมาพิจารณา เพราะประธานรัฐสภาที่ขึ้นมาเป็นได้เพราะมีเสียงข้างมากในสภา เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ทำให้สามารถมองต่อไปได้ว่า ถ้าคนของรัฐบาลถูกกล่าวหา ส่งเรื่องไป ป.ป.ช. และ ป.ป.ช. ก็กำลังถูกกล่าวหาเช่นเดียวกัน อาจจะมีการฮั้วหรือสมรู้ร่วมคิดกันที่ทำให้ไม่สามารถพิจารณาข้อกล่าวหานั้นด้วยความเป็นธรรมได้ กรธ.จึงควรพิจารณาปรับแก้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” นายองอาจ กล่าวและว่า ส่วนการพิจารณารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ต้องพิจารณาร่างฉบับสมบูรณ์ที่จะออกมาในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ถึงตรงนั้นจะชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ร่างจะผ่านประชามติหรือไม่

“รองโฆษกปชป.”จี้“กรธ.”บัญญัติ หมวด สิทธิ เสรีภาพ สื่อฯ   
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องไปยังกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ควรปรับแก้ในประเด็นสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นในวิชาชีพสื่อ เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว โดยใน ม.34-35 ที่บัญญัติไว้เมื่อเทียบกับสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ถือว่าไม่คลอบคลุมเพราะโดนตัดออกไปพอสมควร
         “ขอเสนอแนะ กรธ.ว่า น่าจะนำส่วนที่เคยบัญัญติในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ซึ่งชัดเจนทั้งเรื่องสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งถูกตัดออกไปในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ ให้สื่อมวลชนมีสิทธิ เสรีภาพในการเสนอข่าว แสดงความเห็นโดยไม่ตกอยู่ในอาณัติของหน่วยงานราชการ หรือเจ้าของกิจการสื่อ ผมคิดว่านี่คือประเด็นสำคัญที่สื่อฯ จะมีเสรีภาพในการเสนอข่าวต่างๆ และที่สำคัญ รัฐธรรมนูญ ปี 50 เคยบัญญัติไว้อีกว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไม่ได้ และยังให้ความสำคัญกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ที่น่าจะมีกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะ เพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิของวิชาชีพสื่อฯ ผมจึงอยากให้กรธ.ได้นำส่วนที่ดีของรัฐธรรมนูญ ปี 50 มาใส่ไว้ในตัวร่างฉบับเบื้องต้น เพื่อเป็นประโยชน์กับสื่อฯ ”
         นายราเมศ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สิ่งที่ขาดหายไปในการควบคุม ตรวจสอบ ถ่วงดุลของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่จะมาควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งสาระสำคัญที่ถูกตัดออกไปค่อนข้างและถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ คือกระบวนการตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยการตั้งกระทู้ ซึ่งเหตุผลที่ตนให้ความสำคัญเพราะว่า กระทู้ถามเป็นเรื่องของตัวแทนประชาชน ทั้ง ส.ส. ส.ว. เมื่อพบปะประชาชน เมื่อได้รับร้องเรียนถึงปัญหาความทุกข์ยาก ก็จะนำปัญหาต่างๆ เหล่านี้ มาตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา เพื่อให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงตอบ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่ามาตรการควบคุมฝ่ายบริหารโดยการตั้งกระทู้ถาม มีผลประโยชน์กับประเทศอย่างมาก เช่น กรณีโครงการรับจำนำข้าว ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ที่จะมีการตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
         “เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับเบื้องต้นตัดส่วนนี้ออกไปทั้งหมด ผมว่า กรธ.น่าจะนำประเด็นนี้มาพิจารณาเพื่อบรรจุไว้ในหมวดของการควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน ให้มีหลักประกันกับประชาชนว่าได้ใช้สิทธิผ่านตัวแทนของประชาชนในการสะท้อนปัญหาสอบถามถึงการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร เมื่อเป็นเรื่องสำคัญก็ควรระบุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ใช่เรียกร้องเพื่อผลประโยชน์นักการเมือง แต่เรียกร้องให้นักการเมืองเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน หลักเกณฑ์ดีๆในเรื่องกระบวนการตรวจสอบ เราคิดว่าไม่ว่าพรรคไหนมาเป็นฝ่ายค้าน เครื่องมือคือการตั้งกระทู้ถาม เป็นสิ่งสำคัญมากในกระบวนการตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหาร และที่อยากให้เพิ่มเติมคือ กรธ.ควรกำหนดในร่างรัฐธรรมนูญว่า เมื่อสมาชิกรัฐสภาตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีรายใดแล้ว ต้องกำหนดให้รัฐมนตรีรายนั้นตอบ จะไม่มาตอบไม่ได้ หากจะอ้างเป็นเรื่องความลับ ความมั่นคง หรือเป็นเรื่องประโยชน์สำคัญของประเทศ กรธ.ควรระบุว่า ให้มีการประชุมลับ กรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่จะต้องมีการตอบในทุกเรื่องที่มีการซักถาม”

Leave a comment