ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160207/221940.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559
คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ ‘ท่านผู้นำ’ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
โบราณท่านว่าไว้ ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน เช่นเดียวกับพุทธศาสนาก็มีคำกล่าวที่ว่า “สิ่งใดทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุ” ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ หรือไม่มีเหตุได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัจธรรม และเกิดขึ้นกับทุกเรื่องโดยไม่มีข้อยกเว้น การเมืองก็เช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นอารมณ์โกรธของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ชนิดที่ทำเอาหลายๆ คนตกใจ จริงอยู่ที่ตลอดมาเรารู้กันแล้วว่า “นายกฯ ลุงตู่” ไม่ได้ใจดีเหมือนชื่อเล่นหรือฉายาที่เราเรียกกันอย่างน่ารักๆ หากแต่ติดอันดับนายกฯ อารมณ์ร้าย และยืนซดปะฉะดะกับทุกคนไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม โดยเฉพาะกับผู้สื่อข่าวชนิดที่เรียกกันว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา
หากย้อนกลับไปในสมัยอดีต เราแทบจะไม่เห็นนายกฯ ที่มีภาพลักษณ์เช่นนี้ ต่อหน้าสาธารณะ หากแต่เราจะพบนายกฯ ที่มีบุคลิกท่าทีที่นิ่มนวล พูดจาดี ไม่แสดงอารมณ์ แม้จะมีความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ที่มาจากรัฐบาลปกติ ไม่ว่าจะเป็น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือกระทั่งนายกฯ ที่มาในสถานการณ์พิเศษอย่าง นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์
มีนายกฯ เพียงสองคนเท่านั้น ที่มีบุคลิกคล้ายคลึงกับ “พล.อ.ประยุทธ์” หนึ่งคือ นายกฯ สมัคร สุนทรเวช และอีกหนึ่งคือ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแน่นอนว่าบุคลิกของทั้งสองโดยรวมแล้วไม่เป็นที่พึงใจของชนชั้นกลางเท่าใดนัก รวมทั้งทำให้ถูกเกลียดชังจากคนที่อยู่ขั้วตรงข้าม และลักษณะเช่นนี้ทำให้หลายครั้งถูกค่อนแคะค่อนขอดว่า “ตายเพราะปาก”
“พล.อ.ประยุทธ์” ก็เช่นกัน ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่านี่คือบุคลิกแห่งความมั่นใจของคนที่มีอำนาจเต็มแบบไม่ต้องเกรงใจใคร
แต่ที่ผ่านมาแม้จะดูอารมณ์ร้ายอยู่บ้างแต่ก็ไม่เท่าที่เป็นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงปีใหม่ เรายังเห็นคำพูดของนายกฯ ที่บอกว่าจะเป็นกู๊ดกาย แต่พ้นปีใหม่ไม่นาน นายกฯ ก็กลับมาอารมณ์ฉุนเฉียวอีกหลายๆ ครั้ง
กระทั่งครั้งล่าสุดที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่านายกฯ อาจจะอารมณ์ไม่ดีมาจากที่อื่น แล้วเมื่อมาเจอผู้สื่อข่าวจึงระเบิดอารมณ์ใช่หรือไม่
จึงเกิดคำถามว่าอะไรที่ทำให้ “ลุงตู่” หัวเสียถึงปานนั้น หากดูตามที่ “พล.อ.ประยุทธ์” บอก ได้อ้างถึงสาเหตุของอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “ที่ผมหงุดหงิดมาหลายวัน เพราะเจอแต่คำถามเดิมๆ ถ้าฟังคำถามที่ถาม ผมน่าจะหงุดหงิดมากกว่านี้ อะไรที่เป็นความขัดแย้งขอให้ลดลงหน่อย มีแฟนคลับบอกชอบผมพูดรุนแรง แต่อีกพวกบอกว่าทำตัวแบบนี้เป็นนายกฯ ได้อย่างไร เอาเป็นว่าผมนะดีแล้ว แต่วันนี้ผมหงุดหงิดมากกว่าเป็น ผบ.ทบ. ตอนเป็น ผบ.ทบ.ดูแลทหารสองแสนคน ยังไม่หงุดหงิดเท่านี้เลย”
สรุปความได้ว่าหลักๆ หงุดหงิดที่ถูกถามย้ำเรื่องเดิมๆ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรื่องเดิมๆ ที่ถูกถามแบบย้ำๆ คือการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อไหร่
แต่หากดูจากคำให้สัมภาษณ์ของ “พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” ที่ว่า “ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรู้สึกไม่สบายใจ เพราะต้องเข้ามาแบกรับปัญหาต่างๆ รวมทั้งพยายามปรับปรุงแก้ไขและสร้างกติกาใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อวันข้างหน้า จึงอาจมีแรงกดดันมาก เนื่องจากแบกรับภาระในการแก้ไขปัญหาให้ประเทศ และอาจเกิดความรู้สึกเหมือนเดินอยู่คนเดียว และรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย จึงอยากเรียกร้องให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้น และให้ความร่วมมือในการนำเสนอข่าวที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านำเสนอข่าวในแง่ลบ”
ถอดความแล้ว ดูเหมือนจะค่อนข้างหนักกว่าที่นายกฯ ระบุเอาไว้ เพราะหากเป็นไปตามนี้เท่ากับว่านายกฯ มีอาการเครียดไม่น้อยจากแรงกัดดันและที่สำคัญคือ ความรู้สึก “เหมือนเดินคนเดียว” “อ้างว้างเดียวดาย” อะไรทำให้นายกรัฐมนตรีรู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่มีคนอยู่รายล้อมรายรอบ
ดังนั้นจึงมาถอดรหัสความเครียดของนายกฯ ที่มีอย่างมากมายจนสุดท้ายสะท้อนออกมาทางอารมณ์จนเป็นประเด็นใหญ่โตช่วงที่ผ่านมา
เรื่องแรก คือเรื่องการเลือกตั้งที่ถูกถามย้ำว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่ ในมุมของสื่อมวลชนและคนนอกอาจต้องการความมั่นใจว่าโรดแม็พยังคงเดินหน้าตามเดิมและที่สำคัญต้องการคำมั่นว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว ผู้กุมอำนาจปัจจุบันจะไม่สืบทอดอำนาจต่อไป เพราะสัญญาณจากต่างชาตินั้นต่างก็กดดันให้เราคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วและการกดดันไม่ได้กดดันเฉพาะคำพูด หากแต่กดดันผ่านวิธีต่างๆ เช่น การชะลอหรือระงับความร่วมมือด้านต่างๆ
แต่ในมุมของนายกฯ ต้องยอมรับว่ากดดันไม่น้อยกับคำถามนี้ เพราะท่านนายกฯ เองก็ยอมรับว่าท่านมาในสถานการณ์ไม่ปกติ และถืออำนาจที่ไม่ปกติ เช่นเดียวกับหอกดาบทั่วไปที่ยิ่งถือนานยิ่งมีโอกาสทำร้ายตัวเองสูง แต่หากรีบปล่อยก็หวั่นว่าสิ่งที่คาดหวังไว้จะไม่ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญปัจจัยภายนอกอาจหวนกลับมาทิ่มแทงท่านภายหลังลงจากอำนาจได้เช่นกัน คำถามนี้จึงสร้างความกระอักกระอ่วนแก่ผู้นำไม่น้อย
เรื่องที่สอง เกี่ยวพันกับเรื่องแรก กล่าวคือปัญหาเศรษฐกิจที่ประเดประดังเข้ามา มีคำกล่าวว่าต่อให้รัฐบาลจะเป็นอย่างไรลิดรอนสิทธิแค่ไหนแต่หากปากท้องยังอิ่ม เศรษฐกิจยังดี รัฐบาลก็สามารถอยู่ได้ แต่ขณะนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เศรษฐกิจเป็นที่รู้กันว่ายังคงดิ่งลงไม่หยุดซึ่งมิใช่เพียงเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำเท่านั้น แต่รวมถึงการร่วมมือระงับการค้าการลงทุนกับไทย เหมือนกลายเป็นสองแรงบวกที่กระทำต่อสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้
เมื่อเศรษฐกิจยังเป็นบาดแผลสำคัญ ย่อมทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาวะโงนเงน โดยเฉพาะในยามที่ต้องรักษาสถานะของอำนาจ และความรู้สึกของประชาชนต่อการถูกละเมิดหรือถูกจำกัดสิทธิจะสะท้อนอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องราคาสินค้า ราคาพืชผล สิ่งที่อยากให้ถูกกลับแพง สิ่งที่อยากให้แพงกลับถูก ยิ่งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย
การแก้ปัญหาต่างๆ ก็ดูเหมือนไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ หนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อถือและสองอาจเป็นเพราะความไม่ชำนาญของทหารในการแก้ปัญหา เพราะไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำเรื่องแบบนี้
เรื่องที่สาม เรื่องรัฐธรรมนูญที่เมื่อเปิดออกมา ปรากฏว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มเสียยิ่งกว่าฉบับของ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เสียอีก คนที่เคยหนุนก็ออกมาวิจารณ์ไม่น้อย รวมถึงเริ่มมีการรณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะบานปลายเป็นเรื่องการเมืองและกระทบ คสช.ในตอนท้ายที่สุด
เรื่องที่สี่ เรื่องความโดดเดี่ยว เพราะแม้นายกรัฐมนตรีจะมีการตั้งคณะกรรมการ คณะทำงาน ขึ้นมาจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาเพื่อร่วมทำงาน แต่ด้วยลักษณะการปกครองในปัจจุบัน ที่นายกฯ เป็นเหมือนศูนย์กลางของประเทศทุกเรื่องแม้จะถูกทำในชั้นกรรมการหรือคณะทำงานก็จะย้อนกลับมายังนายกฯ อยู่ดีและในลักษณะเดียวกัน ปัญหาทุกเรื่องก็จะประเดประดังมาที่นายกฯ คนเดียว
นี่คือลักษณะพิเศษของการปกครองในลักษณะรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนคนเดียว ซึ่งเป็นชะตากรรมที่ต้องรับเพราะเลือกเป็นคนที่จะก้าวเข้ามาด้วยตัวเอง
ไม่แปลกที่อารมณ์ของนายกฯ จะฉุนเฉียวแต่ด้วยความเป็นผู้นำอาจต้องคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกอารมณ์ของผู้นำย่อมส่งผลถึงการทำงาน และบรรยากาศของบ้านเมือง ซึ่งอยู่ในสถานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย
—————–
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ ‘ท่านผู้นำ’ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ)
