ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160204/221849.html
ร่างรธน.ฉบับปราบโกง‘ยังไม่โหดจริง’ : สัมภาษณ์พิเศษ โดยสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ จักรวาล ส่าเหล่ทู สำนักข่าวเนชั่น
ประเด็นร้อนทางการเมืองขณะนี้ คือเรื่องร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) บอกว่าเป็นฉบับปราบโกง รายการ “คม ชัด ลึก” ได้พูดคุยกับสองผู้มีประสบการณ์ในงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยตรง คือ “วิชา มหาคุณ” อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปราบโกงได้จริงไหม?
วิชา : เท่าที่เรามอง เห็นความพยายามจุดนี้ แต่จะปราบได้จริงไหม ก็ต้องอยู่ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่ระบุแต่ในร่างรัฐธรรมนูญ อยากเรียนว่ามีจุดดีจุดด้อยในร่างรธน ฉบับนี้ ไม่อยากให้มีการวิจารณ์ทำนองว่า ใครที่ไม่เห็นด้วย ถือว่าเป็นรฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการโต้แย้งทางหลักวิชาการ กลายเป็นว่าคนที่บอกว่าไม่รับ ก็กลายเป็นคนชั่วไปเลย ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงเสนอแนะ ในกรณีที่คิดว่าขาดตกบกพร่อง ท่านก็บอกว่าท่านใจกว้างพอ
ในแง่ปราบโกงไหม มี 2-3 ประเด็นน่าสนใจ คือการตรวจสอบนโยบายก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง ทางด้านผู้ว่าฯ(ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน)ก็จะมีบทบาทมาร่วมกับองค์กรอิสระอื่นๆทั้ง ปชช หรือ กกต. สามารถที่จะยับยั้งปรับปลี่ยนได้ หากมองเห็นว่านโยบายที่พรรคการเมืองเสนอมาว่าเป็นประชานิยม ที่อาจจะก่อความเสียหายกับบ้านมืองได้ ซึ่งผมได้เสนอกับ ท่านมีชัยไปแล้วว่า เป็นไปได้ไหมที่จะป้องกันก่อน อย่างกรณีจำนำข้าว ถ้าไม่เป็นเป็นคดีขึ่นมา ประเทศคงทรุดขนาดไหนซึ่งกระบวนการดำเนินงานนั้นเป็นไปเพื่อคะแนนเสียง เราก็ไม่อยากให้เกิดกรณีอย่างนั้นขึ้น
ดังนั้นจากนี้ไปในแง่ของการตรวจสอบ จะเป็นเชิงเฝ้าระวัง ให้มากกว่าเดิม ส่วนตัวคิดว่าการทำงานในแง่ปราบปรามอย่างเดียวคงไม่ได้ผล เพราะคนที่โกงก็จะพยายามดิ้นหาช่องได้ไปเรื่อยหลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คิดเบ็ดเสร็จในงบประมาณแล้ว อย่างการสร้างถนน ซึ่งเขาได้ตกลงเรียบร้อยแล้วว่าควรได้กี่เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นกระบวนการเฝ้าระวังถือว่าสำคัญ อย่างฮ่องกงก็ประสบความสำเร็จในการขจัคอร์รัปชั่น เพราะนอกจากปราบแล้ว ยังต้องไปตรวจสอบในเชิงป้องกันกับทุกหน่วยงาน ว่ามีกรณีไหนที่อุดช่องโหว่ได้ก็ทำ ซึ่งในเรื่องนี้คิดว่าท่านผู้ว่าฯกับ สตง. จะช่วยดูแลกันได้อย่างดี
และกระบวนการตรวจสอบจะต้องทำแบบบูรณาการ คือองค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบ อย่างกรณี การตรวจสอบฟุตซอล ซึ่ง ปปช. ก็ได้ดึง สตง. มาร่วมกัน ผมอยากเห็นการร่วมมือแบบนี้ในร่าง รธน. ไม่เกี่ยงว่าใครมีหน้าที่อะไร หรือแบ่งแยกกันทำ ซึ่งในร่างแรกก็มีบ้าง แต่น่าจะเขียนให้ชัดกว่านี้ เพื่อให้การตรวจสอบ เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างองค์กร หรือเข้าถึงข้อมูลระหว่างกัน โดยที่ไม่มีขีดกั้น
อีกประเด็นคือ อำนาจของประชาชนในการตรวจสอบ ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี2550 ก็ให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าไปตรวจสอบการกระทำของหน่วยงานรัฐ และต้องได้รับการป้องคุ้มครอง คือไม่ให้ถูกฟ้องร้อง ในการให้ข้อมูลหรือเบาะแส เนื่องจากเป็นไปไม่ได้เลยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะตรวจสอบได้อย่างครบถ้วน โดยต้องอาศัยประชาชนในพื้นที่ช่วยส่งเบาะแสและข้อมูลด้วย
ดังนั้นสื่อและประชาชนที่เข้าไปตรวจสอบจะต้องได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ปัญหาที่ประชาชนโดนมากที่สุดคือคดีหมิ่นประมาท เพราะการชี้เบาะแส ดังนั้นสื่อกับประชาชนจึงกลัวมากในการทำหน้าที่กว่าจะเปิดเผยข้อมูลได้ ก็ถูกเล่นงานไปเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งยังไม่แน่ใจอีกว่าจะต้องจ่ายค่าเสียหายอะไรอีก
ดูเหมือนยังมีหลายเรื่องร่าง รธน. ฉบับนี้ยังขาดในเรื่องการปราบทุจริต ถ้าถามว่าร่าง รธน. นี้มีดีดรีการปราบทุจริตรุนแรงแค่ไหน?
วิชา : ผมคิดว่าแค่ครึ่งๆ เพราะว่าจะต้องดูที่การปฏิบัติด้วย ว่าเอาจริงจังไหม และมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาอย่างที่ อ.มีชัยประสงค์ไหม ผมเคยพูดเสมอว่า การต่อต้านทุจริตจะต้องให้ประชาชนจะต้องมีสิทธิเข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องขอ หมายความว่ารัฐรู้อะไรประชาชนก็ต้องรู้ออย่างนั้น อย่างเรื่องของงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการโครงการต่างๆ จะต้องลงเว็บไซต์หมด เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจสอบได้ และจะต้องอัพเดทข้อมูลเสมอ ซึ่งจะทำให้งานของสื่อมวลชนเบาลงได้ เพราะอำนาจของประชาชนเยอะ โดยจะช่วยกันตรวจสอบ และนำเสนอบนโลกออนไลน์
ในมุมมอง สตง. คิดว่าร่างรธน. นี้ปราบโกงไหม?
พิศิษฐ์ : ผมมีมุมมองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีความชัดเจนให้ความสำคัญกับการการปราบทุจริตอย่างมาก น่าจะเป็นเจตนารมณ์ที่สำคัญในการร่าง รธน. เรื่องนี้ โทษใครไม่ได้ เราต้องดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ได้มีองค์กรอิสระมากมาย และมีกฎหมายลูกเป็นเครื่องมือ แต่เวลาผ่านไปก็ยังปราบโกงไม่ได้ เช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุการณ์ยึดอำนาจในปี พ.ศ.2549 หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญปี 50 ก็ยังไม่ชัดว่า ร่าง รธน. เพื่ออะไร เพราะส่วนใหญ่พูดแต่เรื่องประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆบางคนก็ยังไม่รูว่าประชาธิปไตยคืออะไรด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งที่เราเห็นก็คือ แม้เราจะมีรัฐธรรมูญปี 50 แต่กระบวนที่จะนำไปสู่ขั้นตอนต่างๆ ที่มีในรัฐธรรมนูญยังไม่เป็นไปตามนั้น
ในร่าง รธน. นี้มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนึ่ง อย่างให้ สตง . ไปตรวจสอบโดยต้องไม่รอให้ใครร้องเรียน ซึ่งเราไม่ได้ต้องการจับผิด หากแต่เฝ้าระวังรักษาผลประโยชน์เงินของผแนดินแต่บางครั้งเราเจอการใช้จ่ายเงินที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสียหายให้ประเทศ เราก็มีหนังสือแจ้งเตือน เขาก็เฉยๆซึ่งเราทำอะไรไม่ได้ แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ระบุว่า ถ้า สตง. เห็นว่าโครงการนี้จะสร้างความเสียหาย สมควรจะระงับยับยั้ง ก็ให้มีการพูดคุยกับทาง ปปช. ร่วมมือกัน ส่งเรื่องไปยัง สภา เพื่อเสนอยังยั้ง
ที่ผ่านมาการดำเนินการส่วนใหญ่จะไปเน้นเรื่องที่เกิดความเสียหายขึ้นมาแล้ว อย่างเช่นที่เราเตือนเรื่องจำนำข้าว ที่ไม่ได้รับการสนใจ จริงอยู่ว่าที่ รัฐบาลมีอำนาจในการบริหาร แต่ต้องเป็นเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างสมเหตุสมผลไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งนี้วิธีการยับยั้ง ถ้าเกิดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะเติมต่อนิดหนึ่ง อย่าง ม.44 ที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เราจะเห็นว่าสามารถยับยั้ง คนที่มีความคิดในการบริหารที่จะก่อให้เกิดแต่ความเสียหาย ไม่ต้องรอให้ถึงขั้นทุจริตหรอก เพราะนักการเมืองที่จะเข้ามาอาสาบริหารบ้านเมือง หากบริหารไม่ดีก็ต้องยอมรับ และถ้าถูกสงสัยในเรื่องความสุจริต คนตรวจสอบก็ต้องได้รับความคุ้มครองถ้าอาสาเข้ามาแล้วไม่ยอมให้ตรวจสอบ แล้วความโปร่งใส จะอยู่ที่ไหน หากโดนตรวจสอบคุณก็ต้องมีหน้าที่ชี้แจง หากมัวแต่ฟ้องร้อง อย่างนี้ก็ไม่เป็นธรรมกับสังคม เพราะเรารู้ว่าพวกคุณมีเงินจ้างทนายเก่งๆฟ้องร้อง
ผมคิดว่าหลักการในหลายๆส่วนดีแล้ว ไม่ใช่ดีเพราะว่าเพิ่มอำนาจให้กับ สตง. ป.ป.ช. กกต. ในการเสนอยับยั้งโครงการ ความจริงแล้วส่วนนี้ไม่ใช่อำนาจอะไรเลย หากแต่เป็นหน้าที่ในการตรวจสอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ต่อไปเราจะต้องพัฒนาต่อยอดไปอีก ต่อเติมนิดๆหน่อยๆอย่างที่เราพูดกันก็ทำได้ และการที่บอกว่าส่งผลกับคนที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไป ถ้าคิดว่าพร้อมที่จะทำเพื่อบ้านเมือง ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบได้ ไม่ใช่โอดครวญว่าไม่เป็นประชาธิปไตย การตรวจสอบก็คือกระบวนการหนึ่งในประชาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่เพียงเรื่องของสิทธิและเสรีภาพเท่านั้นทั้งนี้ยังจะต้องมีมาตรการเชิงบังคับอย่าง ม.44 ที่สามารถระงับการบริหารได้ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องเสียหายไปเรื่อยๆ กว่าเราจะตรวจสอบเสร็จก็เสียหายไปมาก ถ้ายับยั้งได้ก่อน ก็จะเบรกความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้
สิ่งที่ยากให้เติมลงในร่าง รธน. ชัดๆ ที่จะทำให้ สตง. คืออะไร?
พิศิษฐ์ : ผมคิดว่าเรื่องของการระงับยับยั้งการใช้จ่ายเงิน ในอดีตกฎหมายการเงินการคลังในสมัยก่อน ยังมีเรื่องของการอายัดฎีกา คือเบรกว่าถ้าคุณใช้จ่ายเงินส่วนนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายถ้าไม่เคลียร์ส่วนนี้ก่อน เบื้องต้นก็ถือว่าดีแล้ว ที่ให้องค์กรอิสระช่วยกันดูแลตรวจสอบ และให้สภาที่เป็นองค์กรตรวจสอบ ที่จะต้องมีความเหมาะสมด้วย อย่างวุฒิสภาที่มีหน้าที่กลั่นกรองผู้เข้ารับตำแหน่งในองค์กรอิสระก็ยังดีที่ได้ป้องกันเรื่องสภา ผัวเมีย ไว้ หากปล่อยให้มีสภาผัวเมีย มาเลือกคนเข้าองค์กรอิสระ มันก็ไม่มีหลักประกันอะไร ต่อไปคนก็จะไปประจบสภาผัวเมีย ผมว่าทุกอย่างจะไปอาศัยจุดเดียวไม่ได้ แต่จุดที่เน้นหนักก็คือการป้องกันทุจริต สร้างจริยธรรม สร้างความรับผิดชอบทางการเงิน ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วต้องรอการสอบสวน เพราะนักการเมืองมักจะบอกว่าบริสุทธิ์ การจะตอบเช่นนั้นก็ไม่ผิดในทางคดีอาญา ซึ่งสันนิษฐานก่อนได้ แต่ในเรื่องความเสียหายที่ปรากฏอยู่จะบริสุทธิ์ได้อย่างไร ในเมื่อเข้ามาและสร้างความเสียหาย คุณก็ต้องรับผิดชอบ หากไม่รับผิดชอบเราก็ต้องมีกฎหมายจัดการ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ติดดาบให้สตง. เพียงพอหรือยัง?
พิศิษฐ์ : ส่วนตัวแล้วเห็นว่ายังไมถึงขั้นติดดาบ เพราะการให้สตง. ร่วมกับ ปปช. กกต เสนอให้ให้มีการยับยั้ง คือเสนอให้ยับยั้งเท่านั้น เราก็ไม่ได้มีอำนาจยับยั้ง หากแค่แจ้งไปยังสภา ซึ่งไม่ได้โหดอย่างที่หลายฝ่ายคิดเลย ก็ต้องออกกฎหมายมารับกับส่วนนี้ และต้องคุ้มครองบทบาทหน้าที่ส่วนนี้ ไม่ใช่เรื่องของอำนาจ หากแต่เป็นบทบาทที่เราต้องรับภาระส่วนนี้
ท่านผู้ว่า สตง. เคยบ่นว่าส่งรื่องไปยังสภาแล้วก็เงียบ?
พิศิษฐ์ : ก็คงต้องออกกฎหมายลูกขยายความบทบาทส่วนนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ก็อาจจะสร้างความเสียหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าชดใช้แค่ชาติไหนถึงจะหมด
ผมถึงบอกให้เติมอีกนึดหนึ่ง ไม่ใช่เพิ่มความโหด การที่เราเป็นนักการเมือง ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม อยู่ภายใต้การตรวจสอบ ซึ่งจะต้องมีคนใช้กลไกทำให้เกิดความรับผิดชอบ เมื่อมีความเสียหายปรากฏขึ้นโดยเติมต่ออีกว่าให้มีอำนาจระงับยับยั้งการบริหารที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย ให้นักการมืองคนนั้นพักงานบริหารบ้าง ไมใช่ผูกขาดอย่างเดียว คนเก่งเรามีเยอะเราต้องการคนดีเข้ามาบริหาร เราจะทำอย่างไรให้คนไม่ดีไม่มีอำนาจ หรือที่นายกฯเรียกว่าคนเฮงซวย ซึ่งการให้นักการเมืองพักงาน ก็อาจจะต้องไปบัญญัติไว้ในกฎหมายลูก
การที่จะปราบทุจริตต้องบูรณาการขององค์กรที่เกี่ยวข้อง ในร่างรธน.นี้มีพอหรือยัง?
วิชา : อย่างแรกต้องขอบคุณท่านมีชัยที่ร่างมาตรการเสริมอย่างในเรื่อง ห้ามคนโกงเข้าเล่นการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งจะระงับไม่ให้เขาคิดแต่เรื่องทุจริต ส่วนจะทำได้จริงไหมก็ว่ากันอีกที อีกส่วนก็คือว่าด้วยเรื่องการแปรญัติของงบประมาณ ถ้าเป็นการแปรญัตติเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างที่ ส.ส. มักจะทำกัน ให้เป็นเหตุที่พ้นจากตำแหน่งได้ ถ้ารัฐบาลร่วมด้วยรัฐบาลก็ต้องไปด้วย เรื่องนี้เขาก็ถือกันว่าเป็นยาแรง หัวใจสำคัญของการเป็น ส.ส. คือเรื่องการแปรญัตติ ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาล เท่าที่เราพบในกระบวนการโกงก็จะเป็นเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ แปรงบประมาณให้จนได้ผลประโยชน์มากที่สุด
ส่วนนี้ต้องมีหน่วยงานตรวจสอบเรื่องงบประมาณว่าตั้งงบประมาณเพื่ออะไร มีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งเราพยายามผลักดันตั้งแต่สมัยรัญธรรมนูญปี 50 แต่ไม่สำเร็จ ส่วนนี้ สตง. อาจจะมาช่วยเสริมได้ และ ป.ป.ช. ก็มาช่วยดูว่ามีร่องรอยของการทุจริตอะไรหรือเปล่า ช่วยเสริมกันในเรื่องของกลไก สมประโยชน์ตามที่ต้องการ
อีกส่วนก็เป็นเรื่องของมาตรฐานจริยธรรม ร่างรัฐธรรมนูญบอกว่าถ้าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงก็ให้พ้นจากตำแหน่งได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ใช่ของวุฒิสภอีกต่อไปโดยคำๆนี้ท่านมีชัยก็บอกว่าให้ สตง. ป.ป.ช. รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญไปคิดหลักเกณฑ์ขึ้นมา ซึ่งผมแนะว่าควรระบุเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรง ระบุในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หากผิดตามนี้ก็ให้ถือว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องหลุดจากตำแหน่ง โดยที่ไม่ต้องพูดถึงอะไรอีกแล้ว ซึ่งในร่างรธน. ก็มีส่วนนี้ แต่ไม่ได้กำหนดเรื่องของการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงชัดเจนในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์
เรื่องบทลงโทษเข้มข้นแล้ว แต่กลไกการตรวจสอบต้องดูอีกที ในการตรวจสอบจะต้องรอ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ อย่างที่ท่านผู้ว่าฯ (สตง.)กล่าวว่าเมื่อพบข้อมูลแล้วจะทำอะไรต่อ และจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะว่ากระบวนการที่แล้วมาจะมอบให้ ปปช. เป็นผู้ไต่สวน แต่ว่า ถ้ามองในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่ ทุกองค์กรรวมกันตรวจสอบได้ เพราะไม่ใช่แต่เพียงในชั้น ปปช. ที่พบการทุจริต ในชั้นของ สตง. ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน
การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ก่อนหน้านี้ กรธ. บอกว่าเวลาพิจารณาคดีสำคัญ จะมีระยะเวลาไม่เกิด 1 ปี แต่ร่างรัฐธรรมนูญล่าสุดไม่กำหนดเวลา เห็นด้วยไหม?
วิชา : ผมคิดว่าเรื่องการกำหนดเวลา เป็นเรื่องของรายละเอียด ควรระบุในกฎหมายลูก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเขียนกฎหมายใหญ่ในเรื่องจุกจิก ซึ่งมีเวลาอีก 8เดือนในการปรับปรุงเรื่องนี้
จากประสบการณ์ที่พบการใช้งบไม่โปร่งสากมาย คิดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่?
พิศิษฐ์ : ถ้าพูดถึงโดยทั่วๆไปแล้ว เราคิดว่าความสำคัญอยู่ที่ กฎหมายลูกมากที่สุด เพราะว่าถ้ากฎหมายรัฐธรรมนูญวางหลักไว้แล้ว ในเรื่องของการป้องกันและยับยั้งนั้น ทาง สตง. เป็นด่านแรกที่เข้าไปตรวจสอบ และเมื่อเรามีอำนาจในการติดตามตรวจสอบเต็มที่ ผมว่าเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งดีกว่าปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้น แล้วค่อยเริ่มกระบวนการ เพราะฉะนั้นเราถึงเน้นว่าขอให้มีอำนาจระงับยับยั้ง ซึ่งจากนี้ไปจะต้องดูในเรื่องของกฎหมายลูกที่จะเพิ่มความเข้มข้นต่อไป แต่เหมือนว่าร่าง รธน. จะเขียนทำนองว่า ให้ สตง. ส่งไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งก็ต้องคิดอีกว่าจะทำให้ทำเรื่องนี้มีความรวดเร็วได้อย่างไร
สาเหตุของการโกง เป็นรากเหง้าของปัญหา คิดว่าตัวร่างรธน. จะขจัดการโกงได้ไหม หรือจุดสำคัญของการโกงอยู่ที่ไหน?
พิศิษฐ์ : จุดสำคัญจริงๆอยู่ที่ผู้มีอำนาจ ซึ่งไม่ได้ใช้อำนาจด้วยความสุจริตโปร่งใส เพราะฉะนั้นการแก้ไข รธน.ส่วนนี้ เราเคยบอก กรธ. ว่าที่เราตรวจเจอ ใช้เงินอย่างไม่สมประโยชน์ แต่ครั้งนี้ได้บูรณาการให้ใช้สิทธิเสนอยังยั้งเพื่อเบรกความเสียหาย ส่วนตัวคิดว่าสำคัญกว่าการปราบปรามอีก ถ้าเป็นเรื่องเงินแผ่นดินแล้วมันน่าเสียใจที่จะต้องมาคอยปราบปรามหลังจากที่เกิดความเสียหายแล้ว ถ้าเราป้องกันได้
วิชา : ผมอยากจะเสริมว่า กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเราอ่อนที่สุด แม้จะเขียนกฎหมายดีเพียงไร แต่ถ้าประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องแก้ไขปัญหาร่วมกับองค์กรอื่นๆ ผมจึงบอกอยากเขียนชัดเจนว่าประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมเป็นเหมือนแขนขาขององค์กรตาม รธน. ซึ่งต้องขอบคุณพวกเขาเวลาที่ส่งข้อมูลมาด้วยซ้ำคือต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของเขาเอง ให้มีส่วนร่วมในการหาข้อทูลในการทำโครงการที่เป็นสาธารณะ ซึ่งตรงนี้ก็เสริมแบบเดียวกับองค์กรชุมชน แต่แค่ยังขาดเรื่องเจตนารมณ์ที่จะป้องกันการทุจริต ถ้าเสริมส่วนนี้ให้กับองค์กรชุมชนได้ ผมว่าก็จะสมบูรณ์
ประเด็นที่อยากให้เพิ่มชัดๆในร่าง รธน.?
พิศิษฐ์ : อยากจะให้ลองดูว่า สิ่งที่เราต้องการให้ระงับ เมื่อกระบวนการถึงสภาแล้ว หากเป็นสภาสภาผัวเมียกับคณะรัฐบาลแล้ว จะมีทางออกในเรื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่ค้างเรื่องอย่างในอดีต หรือเข้าคณะกรรมาธิการก็หายไป เพราะพวกเขายังมีอำนาจ และไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร อีกส่วนอยากให้มีโอกาสระงับในการบริหาร ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ ว่าถ้าคุณยังบริหารจะเกิดความเสียหาย หรือประชาชน มองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ควรมีใครบางคนที่มีอำนาจยับยั้ง ไว้ก่อนเพื่อพิสูจน์กันก่อนที่จะดำเนินการต่อ ไม่เช่นนั้นการปล่อยไปก็จะทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นเรื่อยๆ อยากให้การลงทุนแก้ไขครั้งนี้ เมื่อลงทุนสูงแล้ว จะต้องได้ผลอย่างจริงจัง
อีกทั้งยังต้องมีมาตรการคุ้มครองให้ประชาชนที่ติติงผู้มีอำนาจในการบริหารงานที่ไม่สุจริต อย่าใช้อำนาจเงินฟ้องเขา คุณต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ ซึ่งต้องสู้กันด้วยเหตุผล
วิชา : อยากให้เสริมว่าเมื่อมีการถูกตรวจสอบแล้ว ผู้มีอำนาจต้องยุติการทำงานชั่วคราว อย่างกรณีของข้าราชการยังให้พักงานได้ แต่ฝ่ายการเมืองเราไม่มีมาตรการนี้ ส่วนนี้ถ้าเพิ่มไปได้ ประชาชนก็จะมองเห็นแสงสว่าง ว่าเรามาร้องเรียนแล้ว มีเหตุสมควรที่จะไต่สวน และระงับโครงการนั้นได้ ตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้เป็นการรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ทางอาญาหรือกฎหมายแพ่ง ซึ่งยังไม่ได้พูดกันว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ในเบื้องต้นให้รู้ว่าเมื่อคุณทำโครงการที่ก่อให้เกิดความเสียหายให้ถูกยังยั้งก่อนได้ อีกทั้งเรื่องของการให้พ้นจากตำแหน่งให้ระบุชัดเจนกว่านี้เพราะเคยมีกระบวนการหลบเลี่ยง เช่นในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงถูกตรวจสอบ ก็จะทำการย้ายคนนั้น หรือเปลี่ยนคนใหม่ เพื่อให้คนที่ถูกตรวจสอบอยู่ไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะเขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว ส่วนนี้ก็น่าจะทำให้ชัดเจนว่า ให้ติดตัวไปเลย แล้วก็ไม่สามารถเข้ามาสู่กระบวนการทางการเมืองได้ แม้ว่าคดียังไม่สิ้นสุดก็ตาม
