ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160208/222039.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559
‘วิษณุ’ ปัดความเห็น ‘ทักษิณ’ วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ‘ห่วยแตก’ กรธ.จี้ อดีตนายกฯ โชว์วิสัยทัศน์ เสนอที่ดีกว่า สปท.ซัดกลไกแก้ไข รธน. ‘ค่ายกลเจ็ดดาว’
8 ก.พ. 59 เมื่อเวลา 12.30 น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำรุนแรงว่าเป็นรัฐธรรมนูญห่วยแตก ล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ว่า “ผมรับทราบเรื่องดังกล่าว และไม่ได้ว่าอะไร เห็นเขาบอกว่าจะเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ด้วย”
เมื่อถามว่า ยังยืนยันว่าการเลือกตั้งจะยังเกิดขึ้นตามโรดแม็พที่รัฐบาลวางไว้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังเป็นไปตามโรดแม็พเดิม ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุว่าอาจมีความเป็นไปได้จะเลื่อนโรดแม็พออกไปอีก 3 เดือนนั้น ยืนยันว่า อย่างไรก็เลือกตั้งในปี 60
‘กรธ.’ จี้ อดีตนายกฯ โชว์วิสัยทัศน์ สนอที่ดีกว่า
นายธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะประธานอนุกรรมการรับฟังและสรุปความคิดเห็นที่มีผู้เสนอแนะ กล่าวถึงการรับความเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ที่เสนอความเห็นมายัง กรธ.บ้างแล้ว แต่องค์กรที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้แก่ คณะรัฐมนตรี , คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) , สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น ยังไม่ได้ส่งข้อเสนอใดๆ ขณะความเห็นจากฝ่ายการเมือง อนุกรรมการ ฯ ได้มอร์นิเตอร์ความเห็นด้วยเช่นกัน แต่เข้าใจว่าบางพรรคการเมืองเตรียมเสนอความเห็นอย่างเป็นทางการให้กับ กรธ.อีกครั้งภายในวันที่ 15 ก.พ.นี้
นายธิติพันธุ์ กล่าวถึงกรณีที่มีนักการเมืองวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นในทำนองที่ห่วยแตก และล่าสุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดด้วยนั้น เข้าใจว่า กรธ.คงไม่มีหน้าที่ไปตอบโต้ความเห็นประเด็นรายวัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคุณทักษิณนั้น ตนมองว่า ฐานะคนไทยสามารถที่จะวิพากษ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ควรวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ คือ นอกจากบอกว่าเนื้อหาไม่ดีแล้ว ต้องเสนอแนะด้วยว่าประเด็นที่ดีกว่านั้นมีเนื้อหาอย่างไร ซึ่งนายทักษิณฐานะผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ควรมีวิสัยทัศน์ต่อการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนั้นๆ ด้วย
ทางด้านนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรธ.ฐานะประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และสำรวจความคิดเห็นของประชาชน กล่าวว่า กรณีที่นายทักษิณ ฐานะผู้ทรงอิทธิพลต่อความคิดของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มนั้นจะไม่กระทบต่อการประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ในแง่หลักการกรณีที่นายทักษิณ ฐานะคนสัญชาติไทย และเคยเป็นผู้นำระดับสูงของประเทศ ระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญนั้นห่วยแตก ควรชี้ให้เห็นว่าประเด็นที่ห่วยแตกนั้นควรปรับแก้ไขให้ดีกว่าอย่างไร พร้อมแสดงเหตุผลและรายละเอียดประกอบด้วย ถึงจะสมกับฐานะที่เคยเป็นอดีตผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และจิตใหญ่ใจกว้าง
“คุณทักษิณฐานะผู้ทรงอิทธิพล และสามารถโน้มน้าวให้คนฟังเชื่อในคำพูดได้ ควรทำอะไรที่มีศักยภาพเพื่อนำบ้านเมืองให้เจริญดีกว่ากระแหนะกระแหน หรือวิจารณ์เพียงอย่างเดียว หรือพูดเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ของพรรคการเมืองของตนเองเท่านั้น และกรณีที่ไม่บอกด้วยว่าประเด็นที่วิจารณ์ไม่ดีอย่างไรนั้น ถือว่าไม่ยุติธรรมกับสังคมและประชาชน”
สปท.ซัดกลไกแก้ไขเป็น ‘ค่ายกลเจ็ดดาว’ หวั่นทำยุทธจักรมีปัญหา
เมื่อเวลา 09.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่ออภิปรายแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ มีตัวแทน กรธ.เข้ารับฟัง คือ นายเธียรชัย ณ นคร นางกีรณา สุมาวงศ์ และนายอมร วาณิชวิวัฒน์ โดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองอภิปรายเป็นคณะแรก ส่วนใหญ่แสดงความเห็นท้วงติงเรื่องการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวหรือระบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่เป็นห่วงจะทำให้มีการทุจริตเลือกตั้งมากขึ้น และคะแนนที่ออกมาไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนน เรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.ทางอ้อม จาก 20 กลุ่มอาชีพ ที่จะเกิดปัญหาการบล็อกโหวต จึงควรใช้วิธีการสรรหาทั้งหมด เรื่องการให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำได้ยาก จนอาจเกิดวิกฤตในอนาคต
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน สปท.การเมือง อภิปรายว่า มีหลายเรื่องในร่างรัฐธรรมนูญที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า สิ่งที่ กรธ.เสนอมาจะแก้ปัญหาประเทศได้จริงหรือไม่ ทั้งที่มาของ ส.ส. กำหนดให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ทำให้พรรคที่ส่ง ส.ส.เขตไม่ครบทุกพื้นที่จะได้คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อยาก ส่วนการเลือกตั้ง ส.ว.ทางอ้อม จาก 20 กลุ่มอาชีพ จะเกิดการบล็อกโหวตได้ง่าย ถ้าอยากได้ ส.ว.ที่มีประโยชน์ต่อประเทศ ควรมาจากการสรรหาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ กรธ.ต้องการให้ ส.ว.ปลอดจากการเมือง โดยกำหนดให้คุณสมบัติผู้สมัครต้องพ้นจากสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 10 ปี แต่กลับระบุให้ กรธ.ที่จะไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ต้องพ้นจากตำแหน่ง กรธ.อย่างน้อย 2 ปีนั้น มีความสมดุลกันหรือไม่ ควรกำหนดเวลาให้ใกล้เคียงหรือมีมาตรฐานเดียวกัน การไปตัดสิทธิ์มากเกินไป ทำให้รัฐธรรมนูญขาดความน่าเชื่อถือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขได้ยากมาก ถ้าผ่านไปจะแก้ไม่ได้ ประเทศจะเกิดวิกฤต ถูกฉีกรัฐธรรมนูญอีก ส่วนตัวอยากเสนอว่า การเลือกตั้ง ส.ส.วาระแรก ควรมีวาระแค่ 2 ปีเท่านั้น พอครบ 2 ปี ก็มาเลือกกันอีกครั้ง เพื่อดูว่าวิธีแก้ปัญหาการทุจริตเลือกตั้งที่วางไว้ใช้ได้ผลหรือไม่
นายคำนูณ สิทธิสมาน สปท.กล่าวว่า ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวจะตัดเส้นทางพรรคเล็กและพรรคทางเลือกใหม่ อีกทั้งการให้พรรคการเมืองเสนอชื่อนายกฯ ล่วงหน้า 3 คน เป็นจุดอ่อน หากเกิดกรณีที่บริหารประเทศไป 1 ปี แล้วต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ เช่น ตาย ลาออก กระบวนการเลือกนายกฯ ใหม่ ตามร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ให้นำกระบวนการเดิมมาใช้คือ ต้องเอารายชื่อนายกฯ จากที่พรรคการเมืองเสนอไว้ในตอนแรกมาเป็นอีก ทั้งที่สถานการณ์ช่วงนั้นอาจเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมจึงต้องผูกพันเอารายชื่อเดิมที่ถูกเสนอไว้มาเป็นอีก มองไม่เห็นว่าการเลือกนายกฯ ระบบนี้ มีความเหมาะสมแค่ไหน นอกจากนี้ร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ.ไม่ได้กำหนดว่า หลังเปิดประชุมสภานัดแรกแล้วจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีภายในกี่วัน ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่ให้เปิดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันเปิดประชุมสภาฯ นัดแรก จึงอยากทราบว่าเหตุใด กรธ.ไม่กำหนดเวลาเลือกตัวนายกฯ ให้ชัดเจน ภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สิ่งที่นักการเมืองต้องเจอหลังการเลือกตั้งมี 2 เรื่อง คือ 1. การเขียนนโยบายรัฐบาลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในรัฐธรรมนูญ 2. นักการเมืองต้องอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานทางจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนขึ้นมา ทั้งสองเรื่องถูกเขียนไว้ล่วงหน้าก่อนที่นักการเมืองจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง สังคมจะอยู่ได้ต้องอยู่ในกรอบที่ยอมรับกันได้ ไม่ใช่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนแล้ว แต่ต้องมาอยู่ในกรอบที่วางไว้ล่วงหน้า
นายสมพงษ์ สระกวี สปท.การเมือง กล่าวว่า ใครได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแล้ว บอกได้คำเดียวว่า หนาว เพราะมีอำนาจใหม่มาอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญใช้แทนปวงชนชาวไทยอย่างน่าเกรงขาม ไม่เคยเห็นมาก่อนในรัฐธรรมนูญฉบับใด เพราะให้อำนาจพิจารณาเรื่องการหมดสมาชิกภาพของ ส.ส. ส.ว. และ ครม. โดยเฉพาะการพิจารณาใช้งบประมาณรายจ่าย ที่ระบุว่า ส.ส. ส.ว. และ ครม.จะมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณทั้งทางตรง และทางอ้อมไม่ได้ หากใครตกเบ็ดเอางบมาใช้ หรือเอางบไปลงพื้นที่ตัวเอง สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องการหมดสมาชิกภาพได้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 7 วัน ไม่รู้ว่าต้องสืบพยาน หรือหาหลักฐานอะไรหรือไม่ ถือว่าน่ากลัวมาก เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาให้ ส.ส. ส.ว. และ ครม.พ้นจากตำแหน่งได้ภายใน 7 วัน การจัดทำงบประมาณ เอกสารนับหมื่นหน้า ต้องระวังมาก ไม่เช่นนั้นรัฐบาลอาจพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้ การคิดพิสดารแบบนี้ ทำให้ไม่ไปไหน
นายนิกร จำนง กล่าวว่า ร่างฉบับนี้ไม่ได้ดีที่สุด และยังแก้ไขไม่ได้ เปรียบเหมือนค่ายกลเจ็ดดาว ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้ วาระแรก ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. และ ส.ว.ต้องมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 66 คน วาระสุดท้าย ก็กำหนดให้ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และพรรคใดมีเสียงมากกว่า 10 คน ต้องได้รับความเห็นชอบ 10 เปอร์เซ็นต์ และ ส.ว.ต้องมีเสียงมากกว่า 1 ใน 3 อีก กลายเป็นเสียงส่วนน้อยล็อกเสียงส่วนใหญ่ สุดท้ายรัฐธรรมนูญก็แก้ไขไม่ได้ ทั้งยังต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากมีการแก้ไขเนื้อหาเกี่ยวกับองค์กรอิสระต้องไปลงประชามติอีก และก่อนทูลเกล้าฯ ก็ให้อำนาจ ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่งเข้าชื่อร้องต่อศาลให้ตรวจสอบได้อีก ตนเห็นด้วยว่า กฎหมายแม่ต้องแก้ยาก แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้เลย หากคนเขียนหลุดเข้าไปในค่ายกลนี้เอง ก็เชื่อว่าออกไม่ได้ อยากให้ กรธ.ปรับแก้ มิเช่นนั้นจะมีปัญหากันทั้งยุทธจักร
