ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160208/221990.html
‘เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์’มิติใหม่ประชามติร่างรธน. : ชนิกานต์ พุ่มหิรัญ สำนักข่าวเนชั่น
31 กรกฎาคม 2559 ประชามติโหวต “รับ-ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญกำลังจะเกิดขึ้น หลายฝ่ายต่างเตรียมความพร้อมรับมือตามโรดแม็พของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีเนติบริกรอย่าง “มีชัย ฤชุพันธ์ุ” นั่งหัวโต๊ะ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้รับหน้าที่ “แม่บ้าน” จัดการออกเสียงประชามติตั้งแต่ร่างกติกากำกับการออกเสียง ตลอดจนการประกาศผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้
เร่งปรับกลยุทธ์เท่าทันสถานการ์ยุคดิจิทัล 4จี รับมือการทำประชามติอย่างเต็มที่ เห็นได้จากเจ้าพ่อโซเชียล “สมชัย ศรีสุทธิยากร” สตีฟ จ็อบส์ แห่ง กกต.เปิดตัว “แอพพลิเคชั่นดาวเหนือ” เพื่อใช้นำทางประชาชนไปสู่หน่วยเลือกตั้ง
“แอพพลิเคชั่นตาสับปะรด” ประชาชนสามารถตรวจสอบการกระทำผิดการทุจริตในการออกเสียงประชามติส่งตรงถึงมือ กกต.ได้ทันที
“แอพพลิเคชั่นฉลาดรู้” ใช้เผยแพร่ร่างเนื้อหาสาระและสรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนก่อนตบเท้าโหวตประชามติ
เท่านั้นยังไม่พอ “5 เสือ กกต.” ชุดท่านประธาน “ศุภชัย สมเจริญ” ปิ๊งไอเดียนำ “เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้เวลาพัฒนามาแล้วกว่า 15 ปี ตั้งแต่รุ่นที่ 1 จนมาถึงรุ่นที่ 4 มาใช้ในการโหวตออกเสียงประชามติครั้งนี้ด้วย
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศสำหรับการใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ในการลงคะแนนออกเสียงระดับประเทศ
“สมชัยศรี สุทธิยากร” กกต.ฝีปากกล้า เล่าให้ฟังว่า หลักคิดการพัฒนาเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดต้นทุนการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตบัตร การขนส่ง การจัดพิมพ์ และความสะดวกของประชาชน เพราะเราไม่ต้องพิมพ์บัตรไม่ต้องขนส่ง รวมถึงไม่ต้องวินิจฉัยบัตรดีบัตรเสียที่มีมากกว่า 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง แต่หากใช้เครื่องลงคะแนนไม่มีทางที่บัตรเสียจะเกิดขึ้นเลย บัตรเสียก็จะกลายเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการนับคะแนนเป็นการประมวลผลโดยเครื่องรวมคะแนนอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้ด้วยความรวดเร็ว ไม่แปลกที่หลายประเทศใช้ในการเลือกตั้งทั้งประเทศ เช่น อเมริกา อินเดีย เนปาล หรือฟิลิปปินส์ เป็นต้น
“ตั้งแต่ปี 2545 กกต.ชุดที่ 2 ได้พัฒนาเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา โดยว่าจ้างบริษัทวิทยุการบินออกแบบให้ เครื่องลงคะแนนรุ่นที่ 1 นำรูปแบบมาจากประเทศอินเดีย มีลักษณะปุ่มกดง่ายๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน จากนั้นมีการรับฟังความเห็นและพัฒนาออกเป็นรุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน คือรุ่นที่ 4”
เมื่อพูดถึงเจ้าเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อโหวตประชามติหลายฝ่ายได้ยินคงร้อง โอ้ว..อะเมซิ่งมากๆ เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย
กกต.สมชัยจึงได้อธิบายให้ฟังว่า เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์รุ่นที่ 4 มีทั้งหมด 200 ชุด โดยมีปุ่มกดเพื่อรองรับผู้สมัคร 30 คนต่อเขตเลือกตั้ง มีระบบการพิมพ์เอกสารเพื่อบ่งบอกว่ามีการลงคะแนนเสียงอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยนำมาใช้ในการเลือกตั้งระดับประเทศ อยู่ในขั้นของการเผยแพร่ โดยที่ กกต.จังหวัดนำไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้คุ้นเคย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ นำไปใช้ เช่น การเลือกตั้งสหกรณ์ การเลือกตั้งครู หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งประธานนักเรียน เป็นต้น
“สำหรับการออกเสียงประชามติ 1 หน่วยเลือกตั้งจะใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (สีเขียว) 4 ชุด เท่ากับ 4 คูหาในการลงคะแนนพร้อมเครื่องควบคุมการลงคะแนน (สีส้ม) 1 ชุด โดยกรรมการประจำหน่วยจะเป็นผู้กดปุ่มที่ตัวเครื่องควบคุมการลงคะแนนสีส้มเมื่อมีผู้มาแสดงตนขอใช้สิทธิ จากนั้นประชาชนจะเข้าไปตามคูหาที่มีเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวอยู่เพื่อกดเห็นชอบ-ไม่เห็บชอบในแต่ละคำถามโดยออกแบบให้มี 3 คำถาม ทั้งนี้ประชาชนสามารถเปลี่ยนใจได้ถ้ายังไม่กดยืนยัน แต่เมื่อกดยืนยันแล้วผลคะแนนที่ลงจะถูกปริ๊นท์เป็นสลิปออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วนำไปหย่อนที่หีบบัตรขนาดเล็กเพื่อเก็บไว้ตรวจสอบต่อไปหากมีผู้คัดค้าน”
กกต.ท่านนี้อธิบายต่อว่า เมื่อถึงเวลาปิดหีบเครื่องควบคุมการลงคะแนนสีส้มจะประมวลผลคะแนนพร้อมปริ๊นท์สลิปคะแนนออกมาทันที ซึ่งผลคะแนนดังกล่าวสามารถไปรีเช็กกับผลคะแนนที่ใส่ในหีบบัตรขนาดเล็กได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์นั้น ทำให้เราสามารถรู้ผลคะแนนได้ทันทีหลักปิดหีบไม่ถึง 1 นาที
“สมชัย” ย้ำว่า กกต.เปิดช่องให้ลงคะแนนแบบคู่ขนานเริ่มทำในบางพื้นที่ที่ประชาชนมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี เลือกหน่วยที่บุคคลสำคัญอยู่ เพื่อให้โอกาสได้ลองใช้เครื่องและประชาสัมพันธ์ไปในตัวการ เริ่มต้นครั้งแรกไม่อยากให้มีปัญหาถ้ากระจายใช้หลายพื้นที่ ดังนั้นสำหรับการออกเสียงประชามติที่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ จะใช้บางหน่วยที่มีความพร้อมคือ กรุงเทพมหานครพื้นที่ชั้นใน 5 หน่วยเลือกตั้ง และ จ.ภูเก็ต 9 หน่วยเลือกตั้งรวมเป็น 14 หน่วยเลือกตั้ง
“การใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้เราไม่บังคับประชาชนว่าต้องลงคะแนนโดยเครื่องลงคะแนน เราให้โอกาสประชาชนเลือกลงคะแนนว่าจะลงแบบเดิมคือกาบัตร หรือลงแบบใหม่โดยใช้เครื่องลงคะแนนประชาชนมีสิทธิเลือก แต่ยืนยันว่าเราต้องเริ่มทำ ทำเพื่อเป็นแบบอย่าง ทำเพื่อเป็นต้นแบบ ทำเพื่อเบิกทางในการใช้เครื่องลงคะแนนในอนาคต เพราะถ้าไม่เริ่มใช้กับการเลือกตั้งจริงแม้แต่ครั้งเดียวก็จะเป็นเพียงของเล่นหรือทำขึ้นมาเพื่อเลือกประธานนักเรียน เลือกตั้งกรรมการครู เลือกตั้งกรรมการสหกรณ์เท่านั้น ดังนั้นก็ต้องตัดสินใจใช้ ถ้าไม่ใช่ต้องถามว่าเราพัฒนาเครื่องไปทำไม เราใช้เงินไปไม่น้อยในการพัฒนาเครื่องที่ผ่านมาหลายสิบล้านบาทแล้ว”
สำหรับเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์รุ่นที่ 4 ยังคงมีข้อจำกัดหลายอย่างเช่น จำนวนผู้สมัครจะสมัครได้ไม่เกิน 30 คนต่อเขตเลือกตั้ง ซึ่งหากรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองและผู้สมัครเกิดขึ้นได้โดยง่ายเครื่องดังกล่าวก็ไม่ตอบสนอง หรือหากมีโจทย์การเลือกตั้งที่ซับซ้อนต้องเลือกหลายขั้นตอน เครื่องรุ่นนี้ก็คงไม่ตอบโจทย์
กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้งได้วาดฝันแผนการพัฒนาเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์รุ่นต่อไปว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเพื่อระดมความคิดว่าเครื่องที่ตอบโจทย์การเลือกตั้งในปัจจุบันคือ
1.การผลิตเครื่องที่มีจอทัชสกรีนสามารถสัมผัสหน้าจอได้ การออกแบบเมนูหน้าจอทำได้โดยเสรี สามารถพัฒนาหน้าจอตามโจทย์การเลือกตั้งได้ นำรูปผู้สมัครมาแทนหมายเลขผู้สมัครก็เป็นได้ ประชาชนก็สัมผัสหน้าจอรูปผู้สมัครได้เลย
2.เป็นเครื่องระบบตั้งเดี่ยว (stand alone) ประมวลผลโดยตัวมันเองไม่ใช่ระบบออนไลน์ เพราะอาจเป็นปัญหาได้ ระบบอาจล่มได้หรืออาจมีการเข้ามาแฮ็กข้อมูล
3.ต้องมีปริ๊นเตอร์ขนาดเล็กสามารถพิมพ์ผลการลงคะแนนออกมาให้ประชาชนเห็น แต่สลิปผลการลงคะแนนไม่สามารถนำกลับบ้านได้ ต้องพับแล้วใส่หีบขนาดเล็ก สามารถตรวจสอบรีเช็กได้ ถ้ามีบุคคลคัดค้านเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นโดยไม่สุจริตยุติธรรมจะมีการเปิดหีบพิสูจน์ผลกันได้ว่า คะแนนที่ประมวลผลจากเครื่องและคะแนนที่ปริ๊นท์บัตรออกมาตรงกันหรือไม่ เราจะยึดคะแนนที่ปริ๊นท์บัตรออกมาเป็นคะแนนหลักหากมีการประท้วงเกิดขึ้น
“โจทย์ด้านเทคโนโลยีเราเห็นภาพแล้วว่าจะออกแบบให้เหมาะสมกับอนาคตอย่างไร เพราะถ้าเราออกแบบเช่นนี้แล้วอย่างน้อยที่สุดเครื่องลงคะแนนแบบนี้จะอยู่กับเราเป็น 10 ปี แต่โจทย์ด้านงบประมาณการเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้เงินเกือบ 4,000 ล้านบาท เป็นเรื่องของบัตร การขนส่ง การจัดการเกือบ 1,000 ล้านบาท หากเราลงทุนกับเครื่องที่จะใช้ทั่วประเทศอาจจะต้องใช้เงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ โดยฐานะประเทศไทยไม่สามารถที่จะลงทุนได้ขนาดนั้น พร้อมกันทีเดียว แม้ว่าในระยะยาวการใช้เครื่องจะประหยัดกว่าก็ตาม”
กกต.สตีฟ จ็อปส์ ท่านนี้มั่นใจว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 เราตั้งเป้าหมายโดยการพัฒนาเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ที่เป็นจอทัชสกรีนประมาณ 100 หน่วยเลือกตั้งในเขต กทม.เขตชั้นใน ซึ่งตั้งตัวเลขงบประมาณไว้ที่ 10 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก เพราะหากดำเนินการได้ก็จะเป็นบทเรียนที่ดีในการจัดการเลือกตั้งอนาคตต่อไป
เอาล่ะค่ะ ท่านผู้ชม…น่าตื่นเต้นเสียจริงกับเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์จอทัชสกรีน หวังว่าการเลือกตั้งปี 60 นี้ คนไทยจะได้ใช้จริงนะคะท่าน กกต.
