แก้ความรุนแรงจากรากเหง้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160205/221860.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
แก้ความรุนแรงจากรากเหง้า

แก้ความรุนแรงจากรากเหง้า : บทบรรณาธิการประจำวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559

            เหตุฆาตกรรมสยองขวัญสะท้านสะเทือนศีลธรรมของประชาชนคนไทยประเดิมศักราช 2559 คงไม่หนีไปจากคดีกลุ่มวัยรุ่นรุมสังหารหนุ่มคู่อริแล้วขุดหลุมฝังศพทั้งที่ร่างยังอุ่นๆ อยู่ต่อหน้าแฟนสาว ซึ่งตัวเธอเองก็ถูกข่มขืนอย่างทารุณ ทั้งยังพยายามฆ่าด้วยวิธีทารุณ อย่างที่มนุษย์ด้วยกันไม่น่าจะทำต่อกันได้ หากแต่เธอยังกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาบอกเล่าเรื่องราวสุดแสนเลวร้ายนั้น กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง นอกจากการก่นด่าอย่างกราดเกรี้ยวแล้ว ยังตามมาด้วยประเด็นที่กลายเป็นวิวาทะร้อนแรง อย่างเช่น เสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนทั้งหมดผ่านกระบวนการยุติธรรมเหมือนผู้บรรลุนิติภาวะทั่วไป บ้างก็เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายเพื่อให้ลงโทษขั้นเด็ดขาดกับคดีข่มขืน โดยโทษสูงสุดให้ประหารชีวิต

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาความผิดของเยาวชนในคดีอาญานั้น ที่สุดแล้วก็ขึ้นกับศาลยุติธรรม ขณะในทางสังคม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ใคร่ครวญกันอยู่ว่า เหตุการณ์สยองขวัญนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก และเมื่อเจาะลึกลงไปก็จะพบอีกว่า ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากการถูกกระทำจากสภาพแวดล้อม ที่ใกล้ตัวที่สุดคือ ครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด โรงเรียน และชุมชน เมื่อเด็กถูกกระทำอาจจะแสดงพฤติกรรมออกมาต่างๆ นานา อย่างเช่น เป็นโรคซึมเศร้า มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง หันไปพึ่งพายาเสพติด หรือรวมกลุ่มกับเพื่อน ออกนอกบ้านทำกิจกรรมในทางลบ เช่น ตั้งกลุ่มแข่งรถหรือเป็นเด็กแว้น พฤติกรรมทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ปัญหาทางสังคม ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน นี่จึงเป็นที่มาว่า การลงโทษอย่างรุนแรงที่สุด จะสามารถเยียวยาปัญหาได้หรือไม่ หรือว่า เป็นการกระทำเพื่อความสะใจมากกว่าการป้องปราม

สำหรับโทษประหาร ในคดีข่มขืน ไม่ใช่ครั้งแรกที่สังคมได้เกิดวิวาทะเรื่องนี้ ถ้าหากสังเกตจะพบว่า ในระยะหลังเสียงเรียกร้องให้ประหารชีวิตคนร้าย แม้จะเป็นการใช้ความรุนแรง แต่ก็เป็นการลงโทษที่เชื่อกันว่าจะสาสมกับความผิด ที่นับว่าจะยิ่งรุนแรงโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น ทั้งรูปแบบทารุณกรรมและฆาตกรรม ทั้งยังเชื่อว่า ทัณฑกรรมที่ได้รับนี้ยังจะเป็นการป้องปรามเพื่อไม่ให้กลุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิดกล้าลงมือก่อกรรมทำเข็ญ แต่ฝ่ายที่คัดค้านก็เห็นว่า ยิ่งเพิ่มโทษให้หนักหนาถึงขั้นประหารชีวิตในคดีข่มขืนก็จะยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้กระทำผิดลงมือสังหารเหยื่อมากขึ้นเพื่อปิดปาก เพราะถึงอย่างไร การฆ่าเหยื่อก็ยังมีโอกาสรอดจากเงื้อมมือกฎหมายไปได้ แต่ถ้าปล่อยให้เหยื่อมีชีวิตต่อไป โทษหนักก็จะมาตกกับตน ทางที่ดีควรลงโทษขั้นสูงสุดคือ จำคุกตลอดชีวิต

ในอีกทางหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า คดีฆาตกรรมโหดเหี้ยมดังกล่าวมาเท่านั้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในหลายคดีอันสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ฝังรากลึก โดยทั้งหมดล้วนเป็นผลผลิตจากสังคมอย่างยากจะปฏิเสธ ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ในระยะหลายปีมานี้ มีเยาวชนตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรมเป็นจำนวนมาก แต่ละคดีก็ล้วนแต่รุนแรง อำมหิตเกินมนุษย์ จะเรียกว่าเป็นวิกฤติของสังคมไปแล้วก็คงไม่ผิด ดังนั้น การแก้ปัญหาอย่างถึงแก่นจึงจำเป็นต้องลงมืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเจาะจงลงไปที่หน่วยย่อยที่สุดของสังคม เช่น ครอบครัว คนใกล้ชิด ฯลฯ ส่วนโทษประหารชีวิตนั้น ข้อเสนอสายกลางที่ขอให้จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ให้อภัยโทษ หรือให้ตายในคุก ก็เป็นเรื่องที่น่าจะร่วมกันพิจารณา ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมหลุดพ้นจากความเลวร้ายเช่นที่เกิดขึ้นนี้โดยเร็วที่สุด

Leave a comment