รวมกลยุทธ์มหาเศรษฐีเลี่ยงจ่ายภาษีมรดก ประเทศไทยอาจได้ไม่คุ้มเสีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573930

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ก.พ. 2559 05:01

 

นับจากวันที่ 1 ก.พ.2559 ที่ผ่านมา “ภาษีมรดก” ที่บรรดามหาเศรษฐี คนร่ำรวยผวาหวาดกลัวได้มีผลบังคับใช้แล้ว ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 และพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ.2558

โดยในช่วงระยะเวลา 180 วันก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ กรมสรรพากรได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ทั้งกฎหมายลูกและการออกประกาศเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดเก็บภาษีมรดกเป็นไปตามกำหนด และเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องกฎหมายลำดับรองออกตามความใน พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ.2558

ประกอบด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการแจ้งการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดก และอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาจำนวน 1 ฉบับ และร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 6 ฉบับ

มูลค่ามรดกที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี คือ มูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท อัตราภาษีมี 2 อัตรา โดยบุคคลอื่นที่รับมรดกเสียภาษีในอัตรา 10% กรณีบุพการี และผู้สืบสันดานเสียในอัตรา 5%

ขณะที่ทรัพย์สินเสียภาษีมรดกมี 4 ประเภท อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก และยานพาหนะที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยอสังหาริมทรัพย์และหลักทรัพย์ให้ใช้ราคาตลาดวันที่ผู้รับมรดกรับโอนทรัพย์สิน และมีข้อกำหนดในหลักการเบื้องต้น ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่รับมรดก

“ทีมเศรษฐกิจ” บอกแล้วว่า ภาษีมรดก เรื่องที่บรรดามหาเศรษฐีหวาดผวา ฉะนั้นก่อนวันที่ภาษีมรดกจะมีผลบังคับใช้ จึงมีการโอนทรัพย์สินให้บรรดาทายาทมากมาย ตามที่เราได้รวบรวมมาให้เห็น ดังนี้

โอนหุ้นก่อนกฎหมายบังคับ

ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวนมาก ได้มีการโอนหุ้นให้ทายาทหรือผู้รับมรดกก่อนที่ภาษีมรดกจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป เช่น นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ได้โอนหุ้นบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA จำนวน 16.19% ให้ลูก คือนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ จำนวน 9.05% และนางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ 4.76%

ขณะที่นายวิชัย ทองแตง ได้โอนหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BDMS จำนวน 2.74% ให้ลูกคือ นายอัฐ ทองแตง นายอิทธิ ทองแตง นางสาววิอรทองแตง และนายอติคุณ ทองแตง ภายหลังการโอนเหลือถือหุ้นเพียง 2.65% นอกจากนี้นายวิชัย ยังได้โอนหุ้นบริษัท บลิสเทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS จำนวน 8.145% และหุ้น บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH รวมทั้งหุ้น บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับลูกทั้ง 4 คน เช่นเดียวกับ นายยืนยง โอภากุล ได้โอนหุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG ให้ลูกคือ นางสาวณิชา โอภากุล นางสาวนัชชา โอภากุล นายวรมัน โอภากุล

นายโพธิพงษ์ิ ล่ำซำ ได้โอนหุ้นบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน ) หรือ MTI ให้ลูกทั้งชายหญิงคือ นางนวลพรรณ ล่ำซำ นางวรวรรณพร พรประภา และนายสาระ ล่ำซำ ส่วนนายธรรศพลฐ์ แบแลเว็ลด์ ได้โอนหุ้นบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ให้กับภรรยา คือนางศิริธร แบแลเว็ลด์ และลูก คือนางสาวภัทรี แบแลเว็ลด์ เป็นต้น

รวมทั้งนาย สมโภชน์ อาหุนัย ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ได้โอนหุ้น EA 16.89% ให้ SOTUS & FAITH #1 LIMITED ซึ่งเป็นกองทุนทรัสต์ที่ตนเองเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการด้านภาษี ก่อนที่ภาษีมรดกจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ.2559 โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงการทำธุรกรรมเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนตัวเท่านั้น ปัจจุบันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่ง และพร้อมจะทำงานกับบริษัท EA ต่อไป แม้ว่าจะให้ SOTUS&FAITH#1 LIMITED ถือหุ้นแทน แต่ยังคงมีอำนาจควบคุมในกรณีที่ต้องออกเสียงหรือยกมือโหวตในฐานะผู้ถือหุ้น

“การโอนหุ้นออกครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องทางนิตินัยเท่านั้น โดยโอนให้ทรัสตีไปบริหาร เป็นหุ้นที่โอนไปเพื่อให้กับทายาทของผมในอนาคต หุ้นในส่วนนี้ทรัสตีจะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการมรดกให้กับทายาท ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และผมว่ากรณีแบบนี้ถือเป็นเรื่องไม่ได้ผิดปกติอะไรเพราะในต่างประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน และเป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารธุรกิจ” นายสมโภชน์กล่าว

ตั้งกองทรัสต์ในต่างประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายภาษี เปิดเผยกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า นอกจากการโอนหุ้นที่ถืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ทายาทโดยตรง ซึ่งพบว่าเริ่มมีการทำธุรกรรมดังกล่าวมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกฎหมายภาษีการรับมรดกและภาษีการรับการให้ และกระบวนการร่างกฎหมายมีความชัดเจนคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

โดยได้มีการโอนทั้งบ้านและที่ดินตลอดปี 2558 จะเห็นว่ามีเศรษฐีไปโอนบ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม ให้ทายาททุกวันจนงานล้นกรมที่ดิน

ซึ่งนอกจากการโอนทรัพย์สินให้โดยตรงดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีเศรษฐีชาวไทยจำนวนมากที่มีทรัพย์สินเป็นหลักพันล้านหรือหมื่นล้านบาท ได้ออกไปตั้งกองทรัสต์ (TRUST) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกงและสิงคโปร์ เพราะประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการตั้งทรัสต์โดยโอนทรัพย์สิน เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ไปอยู่ในกองทรัสต์ เนื่องจากยังไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกทอดหรือเป็นทรัพย์มรดกแก่ทายาทคนใดคนหนึ่ง จึงตั้งทรัสต์ขึ้นมาเพื่อถือครองทรัพย์สินนั้นโดยมีทรัสตีที่เป็นมืออาชีพ เป็นผู้ดูแลหรือบริหารจัดการทรัพย์สินนั้นตามคำสั่งของผู้ก่อตั้งทรัสต์ แม้ผู้ก่อตั้งทรัสต์จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม

โดยการตั้งกองทรัสต์ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ!!อย่างไรก็ตาม การตั้งกองทรัสต์ไม่ใช่เพื่อการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก แต่มีประโยชน์มากกว่านั้นเพราะถือเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อทายาทระยะยาว เช่น จะมีการระบุคำสั่งให้ทรัสตีจัดการ โดยแม้เจ้าของมรดกจะเสียชีวิตไปแล้วหรือตายไปกี่ชั่วคน แต่กองทรัสต์จะยังอยู่ และดำเนินการตามคำสั่งหรือเจตนารมณ์ของเจ้าของที่ได้กำหนดไว้

เช่น ห้ามขายบริษัทหรือทรัพย์สินชิ้นนี้ หรือให้จ่ายผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากทรัพย์สินในกองทรัสต์ให้ทายาทแต่ละคน เป็นรายปีจนกว่าจะเรียนจบหรือจนกว่าจะอายุเท่าไร เป็นต้น เพราะหากมีการโอนมรดกให้ลูกหลานโดยตรงทันที อาจกลายเป็นเบี้ยหัวแตก ถูกนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนหมด หรือมีการขายทรัพย์สินทิ้ง โดยไม่ทำตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่หรือเจ้าของ
ทรัพย์สินนั้น

ผุด “โฮลดิ้ง” จัดการทรัพย์สิน

นอกจากนี้ เศรษฐีบางรายที่มีธุรกิจหรือถือหุ้นไว้จำนวนมากหลายบริษัทได้ใช้วิธี จัดการทรัพย์สินโดยตั้งบริษัทขึ้นมา ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้งแล้วโอนทรัพย์สินเข้าไป ให้ถือในนามบริษัทโฮลดิ้งนี้ และให้ตนเองและลูกหลานหรือทายาทเป็นผู้ถือหุ้นในโฮลดิ้งอีกชั้นหนึ่งและถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่าแต่อาจมีการกำหนดลักษณะเป็นหุ้นบุริมสิทธิ (จำกัดสิทธิ์ไว้ชั่วคราว) เช่น ไม่มีสิทธิ์โหวตหรือรับปันผล เพื่อเปิดช่องให้พ่อแม่หรือเจ้าของทรัพย์สินที่ยังมีชีวิตอยู่ยังสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินหรือกิจการได้เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีมรดกที่กำหนดให้ทายาท 5% ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นอัตราที่ไม่สูงมาก การรีบโอนให้ลูกหลานโดยตรง อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น หากเกิดกรณีลูกตายก่อนพ่อ เมื่อต้องโอนมรดกกลับมาให้พ่อแม่ก็ยังต้องเสียภาษีมรดกอยู่ดี หรือหากลูกหลานอาจไปยกทรัพย์นี้ให้บุคคลอื่น เช่น ให้สามี-ภรรยา หรือไปให้บุคคลอื่น ต้องคิดผลดีผลเสียให้รอบคอบซึ่งหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ควรยอมเสียภาษีตามปกติอาจจะได้ประโยชน์มากกว่า

“ที่ผ่านมาบรรดาเศรษฐีทั้งหลายตื่นตระหนกกับภาษีมรดก เพราะมีจำนวนมากจริงๆ หรือเห็นเศรษฐีคนอื่นเขาเร่งโอนทรัพย์สินออกกันก็ทำบ้าง โดยที่ไม่ได้มีการวางแผนหรือจัดการอย่างรอบคอบเพราะบางคนอาจไม่จำเป็นต้องทำ เช่น มีนักธุรกิจคนหนึ่งมีหุ้นบริษัทที่อยู่นอกตลาดมูลค่าหลายพันล้านบาทมาปรึกษาว่าอยากจะโอนให้ลูกซึ่งอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย หากลูกได้รับไปแล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะเขามีสิทธิ์เอาไปขาย เอาไปทำไม่ดี หรือแม่ควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียกับการทำเพื่อหวังเลี่ยงภาษีมรดก สุดท้ายเมื่อได้คำแนะนำไป เขาก็ไม่โอน”

ขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้มีการวางแผนจัดการเรื่องภาษีมรดก หรือผู้ที่ยังไม่ได้โอนให้ทายาท กฎหมายได้เปิดช่องให้ทำได้ โดยการทยอยโอนทรัพย์สินให้ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีมรดกหรือภาษีการรับ

ขณะที่นักวางแผนทางการเงินและผู้บริหารความมั่งคั่งให้นักลงทุนให้ความเห็นว่า ภาษีมรดกที่ออกมาแทบทำอะไรไม่ได้กับบรรดาเศรษฐีเงินถุงเงินถังหลักหมื่นหลักพันล้านบาท

เพราะในช่วงที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่และมีปัญหา บรรดาเศรษฐี นักธุรกิจที่มีเงินในประเทศไทย เขาได้บริหารจัดการทรัพย์สินกันไว้เสร็จหมดแล้วแทบไม่มีเหลือให้มาจ่ายภาษีมรดก เพราะเขาได้ออกไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ทั้งหุ้น อสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดินอพาร์ตเมนต์ ภาพเขียน โดยเฉพาะใน 4-5 ปีหลังมานี้

เนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศมีโอกาสได้ผลตอบแทน มากกว่า ทั้งในอังกฤษ อเมริกา และยุโรป คนที่ออกไปลงทุนช่วงก่อนหน้านี้ ปัจจุบันได้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐีหลายคนได้ออกไปซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุนในยุโรปและอังกฤษมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท

“ไม่ได้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีแต่ถือเป็นการกระจายการลงทุน กระจายความเสี่ยง!! ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีมรดก แต่ยอมรับว่าการมีภาษีมรดกได้มีผลกระตุ้นให้เศรษฐีจำนวนมากนำเงินออก ไปลงทุนในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการเร่งไล่เงินให้ไหลอออกไปต่างประเทศมากขึ้นและเร็วขึ้นอีกทางหนึ่ง”

ที่ฮ่องกง สิงคโปร์ประเทศคู่แข่งของเรา เงินไหลออกไปอยู่กับประเทศเขามาก เพราะไม่มีภาษีมรดกและธุรกิจทรัสต์เขาก็อู้ฟู่มาก คนไทยต้องไปเสียเงินค่าธรรมเนียมค่าดูแลทรัพย์สินให้เขาจำนวนมาก เพราะประเทศไทยก็ยังไม่มีกฎหมายทรัสต์มารองรับ

หลายคนมองว่าการเก็บภาษีมรดกไม่แฟร์ เนื่องจากตั้งใจทำธุรกิจมาเกือบทั้งชีวิตด้วยความยากลำบาก เงินที่ได้มาเสียภาษีทั้งภาษีบุคคลธรรมดา ในรูปบริษัทก็เสียภาษีนิติบุคคล ใช้จ่ายก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ฝากแบงก์ก็เสียภาษีดอกเบี้ย เมื่อตายจะยกเงินให้ลูกหลานยังโดนมาตามเก็บภาษีอีก เมื่อเขามีกำลังที่จะบริหารจัดการภาษีเพื่อไม่ให้เสียในส่วนนี้ได้ก็ต้องทำ

“ภาษีมรดกนี้ล้าสมัยแล้ว คิดว่าได้ไม่คุ้มเสีย เงินที่จะเก็บภาษีได้คงไม่มากเมื่อเทียบกับค่าบริหารจัดการของภาครัฐและเงินที่ไหลออกไปจากกรณีนี้ ซึ่งหลายประเทศยกเลิกกฎหมายภาษีมรดกกันแล้ว”

เสนอออกกฎหมายทรัสต์

นายกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริษัท เบเคอร์แอนด์แม็คเค็นซี่ และประธานคณะกรรมการภาษีสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ควรมีกฎหมายอนุญาติให้ตั้งทรัสต์ได้ในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นการเก็บภาษีมรดกอาจเป็นการส่งเสริมหรือผลักดันให้มีการไหลออกของความมั่งคั่งทางการเงิน และทรัพย์สินของประชาชนคนไทยที่มีฐานะดีไปยังต่างประเทศ

ขณะที่นายธีระ ภู่ตระกูล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ยอมรับว่า การเก็บภาษีมรดกอาจได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากมีเศรษฐีไทยจำนวนมากโอนทรัพย์สิน ทั้งที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียมและหุ้น ให้แก่บุตรหลานเพื่อไม่ต้องเสียภาษีมรดกและมีอีกจำนวนมากที่โอนเงินออกไปต่างประเทศนำไปลงทุนในรูปของทรัสต์ จึงน่าเสียดายที่ไทยจะสูญเสียเงินจากกลุ่มเศรษฐีกลุ่มนี้

ฉะนั้น จึงเสนอให้กระทรวงการคลังออกกฎหมายทรัสต์ควบคู่กับการจัดเก็บภาษีมรดก เพื่อให้เศรษฐีนำเงินมาลงทุนในประเทศมากกว่า เพื่อให้สินทรัพย์ดังกล่าวยังอยู่ในไทย และจากประสบการณ์พบว่า ในหลายประเทศมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีมรดกไปแล้ว

ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการเพิ่มรายได้ภาษีควรจัดเก็บจากส่วนอื่นจะคุ้มกว่า.

ทีมเศรษฐกิจ

Leave a comment