ปลูกต้นไม้ไว้ให้ลูกตั้งแต่คลอด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05122010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

เขียว สวย หอม กินได้

แพรจารุ ไชยวงษ์แก้ว

ปลูกต้นไม้ไว้ให้ลูกตั้งแต่คลอด

ต้อนรับวันเดือนแห่งแม่เป็นพิเศษ ไปร่วมกิจกรรมอ่าน เขียน ของครูและนักเรียน ที่แม่ฮ่องสอน ท่ามกลางฝนที่ตกแทบไม่ขาดเม็ด บ้านพักศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน หน้าเรือนมีระเบียงกว้าง มองเห็นแม่น้ำปายขุ่นคลักและเชี่ยวกราก แสดงว่าบนดอยสูงมีฝนตกหนัก และมีน้ำป่าลากเอาดินแดงที่สูงลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีป่า ไม่มีต้นไม้รองรับ หรือมีน้อย ดินก็ถูกชะลงมาอย่างรวดเร็ว พื้นที่บางแห่งถึงขั้นดินสไลซ์ลงมาจนเกิดอันตราย

คุยรอบนอกไม่เกี่ยวกับอ่าน เขียนเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่าน่าสนใจ เรานั่งกันที่ระเบียง ดูสายน้ำเชี่ยว และคุยกันตามประสาผู้หญิง รุ่นที่เริ่มมีลูกเล็ก

ใครๆ ก็รักลูก และอยากให้ลูกได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด แม่คนไหนก็เหมือนกัน ใครคนหนึ่งเปิดประเด็นเรื่องการเตรียมเพื่อลูก สิ่งที่พ่อแม่จะดูแลเพื่อลูกนั่นมีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า บ้านสักหลัง เงินสำหรับการเรียนของลูก อย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรี แต่มีครูอยู่คนหนึ่งบอกว่า เขาอยากจะเตรียมสิ่งแวดล้อมดีๆ ไว้ให้ลูก คือ อากาศดี แม่น้ำดี อาหารดี

โห…สุดยอดเลยครู ฉันคิดเหมือนครูเลย ตอนนี้ใครแต่งงานใหม่อยากมีลูก ต้องตระหนักถึงสิ่งนี้เลย เราจะหาอากาศดีๆ ไว้ให้ลูกได้ไหม หาน้ำ หาอาหารที่ดี ไม่ใช่หาเงินซื้อแอร์ หรือเครื่องฟอกอากาศนะ เพราะลูกพวกเราไม่ได้อยู่หลอดแก้วได้ตลอด หรือเราจะมีแม่น้ำสะอาดๆ ให้ลูกเราใช้ได้ไหม เราหาอาหารดีๆ ที่ปลอดสารเคมีได้ไหม

ครูคนหนึ่งบอกว่า คิดมากไป เราแค่ทำหน้าที่พ่อ แม่ ให้ดี ลูกก็เหมือนลูกธนูที่ถูกยิงออกไป ถ้ามันออกไปจากคันธนูที่ดี

(ครูพูดแบบโรแมนติก พูดแบบงานวรรณกรรมเลยทีเดียว) แต่ฉันคิดว่า ครูปกป้องตัวเอง แบบโลกสวย

“ถ้าคิดแบบนั้น ก็ไม่ต้องออกไปจากมดลูกแล้ว” (นั่นครูแรง)

เป็นความเข้าใจผิด ครูมีลูกนะดีแล้ว เผ่าพันธุ์จะต้องสืบทอดต่อไป แต่เรากำลังคิดว่า จะทำอย่างไร ให้ผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์จากเราอยู่รอดต่างหาก โดยได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศดี อาหารดี อะไรทำนองนี้ ดังนั้น คนที่จะมีลูกก็ต้องคิดเรื่องเหล่านี้ด้วย นอกจากคิดว่าหาเงินเพื่อให้เรียน หาบ้านเพื่อให้อยู่

ครูคนหนึ่งบอกว่า เราต้องเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไป ไปยังกลุ่มคนที่เริ่มมีลูกหรือกำลังจะมีลูก เพราะส่วนใหญ่คนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมักเป็นคนโสด คนมีครอบครัว คนมีลูกมักจะบอกว่าไม่ว่าง ทำมาหากินเลี้ยงลูกก็เหนื่อยแล้ว ความจริงเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม หรือการให้เด็กตระหนักเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมนี้สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น หรือควรให้ความสำคัญมากกว่าด้วย ไม่งั้นเราก็จะกลายเป็นประชาชนสำเร็จรูป

“ประชาชนสำเร็จรูปอย่างไร” ครูถาม

คือเกิดมาพอโต เดินได้ก็เริ่มให้ไปโรงเรียน และก็เรียนๆ โดยไม่ต้องทำอะไรหรือรับผิดชอบอะไรเลย เรียนให้เก่งเพื่อให้ชนะผู้อื่น ได้เข้าไปยืนในตำแหน่งที่ดี คือเรียนโรงเรียนที่คิดว่าดี สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เรียนไปจนอายุ 20 ปี จบปริญญา ก็ทำงาน ผ่อนรถขับ ผ่อนบ้าน เป็นหนี้ เครียด แล้วก็เริ่มป่วยเข้าโรงพยาบาล

มีข้อเสนอสำหรับวงสนทนา พวกครูที่เริ่มมีลูกเล็กๆ เริ่มปลูกต้นไม้เลย (อย่า อย่าเพิ่งหัวเราะ ว่าเอะอะอะไรก็ปลูกต้นไม้ โครงการปลูกต้นไม้มากมาย ปลูกได้แต่ไม่มีใครดูแลให้โต)

ผู้เสนอบอกว่า การปลูกต้นไม้ของแม่นี่ต่างไปจากการปลูกต้นไม้อื่นๆ เพราะแม่ปลูกเพื่อลูก ดังนั้น แม่ลูกก็ดูแลต้นไม้ไปด้วยกัน เมื่อลูกอายุ 20 ปี ต้นไม้ก็โตพอที่จะตัดไปทำบ้านได้แล้ว ลูกๆ ก็จะมีไม้ไว้ทำบ้าน ปลูกไม้แดง ไม้สัก 5, 6 ต้น ลูกก็จะมีไม้สร้างบ้านของตัวเอง คนที่รู้ว่าแม่ปลูกต้นไม้ไว้ให้ลูกสร้างบ้าน เขาก็รู้จักต้นไม้แต่เล็ก ผูกพันกับต้นไม้ได้เอง เป็นการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่ง

คล้ายแนวคิดของปกากะญอ ชนเผ่าบนดอยสูงที่เด็กเกิดใหม่จะมีต้นไม้ประจำตัว คือเขาเอาสายสะดือไปผูกไว้ที่ต้นไม้ เด็กคนนั้นก็จะรู้ว่าเขามีต้นไม้ประจำตัว

ปล. สำหรับคนที่มีที่พอที่จะปลูกต้นไม้ได้นะคะ ไม้แดง อายุ 13 ปี ใช้ได้ ส่วนไม้สัก ก็สัก 15 ปี เด็กๆ ก็จะมีต้นไม้ของตัวเอง และเมื่อโตก็ตัดต้นไม้ไปทำบ้านได้ และปลูกทดแทนเพื่อคนอื่นต่อไป

Leave a comment