ระบบสวนครัวน้ำหยด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05089010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

คิดเป็นเทคโนฯ

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

ระบบสวนครัวน้ำหยด

“การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยเสมอมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอัจฉริยภาพในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริมาปฏิบัติผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนและช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่อยู่ไกลแหล่งน้ำ ท้องถิ่นทุรกันดารที่มักประสบปัญหาภัยแล้ง อีกทั้งยังมีมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งสามารถบรรเทาปัญหาให้กับเกษตรกรที่ประสบภัยได้ การดำเนินการขับเคลื่อนโครงการเทิดพระเกียรติ “ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน” นี้ ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนได้ร่วมรณรงค์ให้ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านโครงการต่างๆ ของหน่วยงานที่ได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการ”

นายปฏิญญา เหลืองทองคำ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานภายใต้โครงการเทิดพระเกียรติ “ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน” ซึ่งมี สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นเจ้าภาพหลักและร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 21 หน่วยงาน จัดนิทรรศการ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน ขึ้นที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน เมื่อเร็วๆ นี้

ภายใต้นิทรรศการที่น่าสนใจอย่างมากมาย “ระบบสวนครัวน้ำหยด” ที่นำเสนอโดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ความรู้ที่เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้เพื่อรองรับสถานการณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์น้ำที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาสำคัญทั้งในวันนี้และอนาคต

สวนครัวน้ำหยด เป็นวิธีการให้น้ำแก่พืชอีกหนึ่งวิธีสำหรับแปลงปลูกพืชผัก ซึ่งมีประสิทธิภาพการให้น้ำสูง ใช้แรงดันน้ำน้อย ค่าลงทุนไม่สูงมาก อีกทั้งเทคนิคการใช้และการดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก แต่ให้ผลตอบแทนทางการผลิตสูง

ระบบการให้น้ำวิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบเฉพาะ สำหรับพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำต้นทุนน้อย และสามารถใช้งานได้ง่าย เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะครัวเรือนที่มีพื้นที่น้อย เช่น พื้นที่ว่างบริเวณบ้าน คันสระน้ำประจำไร่นา เป็นต้น ซึ่งทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชไว้บริโภคภายในครัวเรือนได้ตลอดทั้งปี เหลือจากการบริโภคก็สามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมของครอบครัวได้

ที่น่าสนใจอีกประการคือ ระบบสวนครัวน้ำหยด สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ 500-4,000 บาท ต่อฤดูกาลการผลิต

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการใช้งานถูกมาก เมื่อเทียบเป็นค่าน้ำมันหรือค่าไฟฟ้าแล้ว ใช้ไม่เกิน 200 บาท ต่อ 1 ฤดูกาลผลิต หรือไม่เกิน 4 เดือน

สำหรับรูปแบบของระบบสวนครัวน้ำหยด จะประกอบด้วยอุปกรณ์สำคัญคือ ถังน้ำ ขนาด 200 ลิตร วาล์วน้ำ 1 นิ้ว ชุดกรองน้ำ ขนาด 1 นิ้ว ท่อหลักและท่อรอง พีวีซี 1 นิ้ว เทปน้ำหยด เป็นต้น

วิธีการจะใช้ถังน้ำ ขนาด 200 ลิตร เป็นแหล่งพักน้ำและส่งจ่ายให้กับระบบ ดังในภาพ โดยติดตั้งถังน้ำดังกล่าวให้สูงขึ้นมาจากพื้นที่ต้องการให้น้ำ 1-2 เมตร

ส่วนท่อ พีวีซี จะติดตั้งบริเวณหัวแปลงพื้นที่ปลูกพืช

สำหรับเทปน้ำหยด ซึ่งมีระยะรูจ่ายน้ำ 20-30 เซนติเมตร อัตราการจ่ายน้ำของรูน้ำแต่ละรู 1-2 ลิตร ต่อชั่วโมง จะติดตั้งในแปลงที่ปลูกพืช โดยติดตั้งเป็นแถวยาวตามแนวของต้นพืช ซึ่งความยาวที่แนะนำนั้นไม่ควรเกินกว่า 15 เมตร

การให้น้ำด้วยวิธีการให้น้ำรูปแบบนี้จะประหยัดน้ำมากกว่าระบบการให้น้ำแบบอื่นๆ และไม่ต้องใช้เครื่องต้นกำลังในการส่งน้ำให้กับระบบหรือไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำนั่นเอง

ขนาดของพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกพืชด้วยวิธีการให้น้ำแบบนี้ ไม่เกิน 160 ตารางเมตร สำหรับ ถังน้ำ 1 ใบ และ มีการใช้น้ำ ประมาณ 200-400 ลิตร ต่อวัน

สำหรับผู้สนใจ สามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนปฏิรูปที่ดิน 1764

คิดเป็นเทคโนฯ กับ กรมวิชาการเกษตร ปุ๋ยหมักและพันธุ์ยาง

โรงผลิตปุ๋ยหมักระบบเติมอากาศ เป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยพัฒนาของกรมวิชาการเกษตร โดย นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ปี 2558 นี้ กรมวิชาการเกษตร ได้มีแผนขยายผลต่อยอดงานวิจัยโรงผลิตปุ๋ยหมักระบบเติมอากาศเพื่อการผลิตพืชอินทรีย์ ซึ่งได้จดอนุสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว โดยกรมวิชาการเกษตร ได้เร่งจัดทำโรงต้นแบบปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศขึ้น ในศูนย์วิจัยฯ ของกรมที่อยู่ในส่วนภูมิภาคนำร่อง จำนวน 25 โรง พร้อมพัฒนาเป็นศูนย์ต้นแบบการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรที่ต้องการผลิตปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ต้นทุนต่ำ และนำไปใช้ในการผลิตพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้มีการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกพืชเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และเพิ่มศักยภาพในการผลิตทางการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเป็นช่องทางลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง และลดปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศด้วย

ปีแรกนี้ กรมวิชาการเกษตร ได้ตั้งเป้าฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจ ไม่น้อยกว่า 1,500 คน ซึ่งคาดว่าผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีความรู้เรื่องปุ๋ยหมักเพิ่มขึ้นกว่า 80% ภายใน 3 ปีข้างหน้า จะจัดทำโรงต้นแบบปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศให้ได้ จำนวน 75 โรง กระจายทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นกลไกช่วยขับเคลื่อนขยายผลองค์ความรู้การผลิตปุ๋ยหมักคุณภาพไปสู่เกษตรกรและผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น อนาคตคาดว่าเกษตรกรจะมีการผลิตและใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกพืชอย่างแพร่หลาย และมีการผลิตพืชตามระบบเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโมเดลนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้จริงในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช

ทางด้าน นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงต้นแบบปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศ ประกอบด้วย ซองหมักและระบบเติมอากาศ โดยซองหมัก มีความกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 1.80 เมตร หมักวัสดุได้ ประมาณ 60 ลูกบาศก์เมตร/ครั้ง ส่วนระบบเติมอากาศ ประกอบด้วย พัดลมอัดอากาศ ตะแกรงเหล็กหรือตะแกรงสแตนเลสเพื่อรองรับวัสดุและช่วยกระจายลม และมีระบบเปิด-ปิด ด้วยนาฬิกาตั้งเวลาอัตโนมัติเพื่อให้อากาศ โดยเปิด 1 ชั่วโมง ปิด 3 ชั่วโมง วันละ 6 ครั้ง

ซึ่งโรงต้นแบบปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศนี้มีกำลังการผลิตปุ๋ยหมัก ประมาณ 30 ตัน ต่อรอบการผลิต เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถนำแบบไปดัดแปลงปรับลดขนาดหรือย่อส่วนให้เล็กลง หรือเพิ่มขนาดโรงปุ๋ยให้ใหญ่ขึ้นได้ตามความต้องการที่จะผลิต ตั้งแต่ 1-100 ตัน โดยไม่ต้องกลับกองปุ๋ยหมัก

“โรงผลิตปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศเป็นระบบที่มีศักยภาพ แต่ต้องใช้วัสดุหมักตามสูตรที่กำหนด โดยใช้มูลไก่ 2 ส่วน มูลโค/มูลกระบือ/มูลแพะ อย่างใดอย่างหนึ่ง 1 ส่วน และเศษพืชต่างๆ 1 ส่วน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำเข้าซองหมัก การหมักต้องมีการควบคุมความชื้นให้อยู่ในระดับ 60% ใช้ระยะเวลาหมักนาน 30-45 วัน แล้วย้ายปุ๋ยหมักออกจากซองระบบเติมอากาศ นำไปบ่มไว้ด้านนอก โดยกระจายเป็นกองเล็กๆ กว้าง 1.5 เมตร สูง 50 เซนติเมตร ปรับความชื้นให้อยู่ในระดับ 60% รอให้ปุ๋ยสุกหรือย่อยสลายอย่างสมบูรณ์อีก ประมาณ 30-45 วัน จะได้ปุ๋ยหมักที่มีธาตุอาหารสูงและมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ในระบบปลูกพืชทั่วไปและพืชอินทรีย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงและคุ้มค่าการลงทุน” นายภัสชญภณ กล่าว

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตร ยังได้มีการพัฒนาเกี่ยวกับสายพันธุ์ยางพารา โดยล่าสุดประสบความสำเร็จในการวิจัยสายพันธุ์ยางพาราที่เหมาะกับพื้นที่ปลูกกึ่งแห้งแล้ง 2 สายพันธุ์ ซึ่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันมีการขยายการปลูกยางพาราไปยังพื้นที่ใหม่มากขึ้น ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งแห้งแล้งที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 1,600 มิลลิเมตร ต่อปี หรือมีช่วงแล้งยาวนาน 3-5 เดือน กรมวิชาการเกษตรจึงได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยยางดำเนินโครงการวิจัยพันธุ์ยางให้เหมาะสมกับพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง เพื่อคัดเลือกพันธุ์ยางใหม่ที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูง เจริญเติบโตดี

การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 18-20 ปี จึงจะประสบความสำเร็จ

สำหรับผลการวิจัยพบว่า มีพันธุ์ยางที่สามารถเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตน้ำยางสูง และปรับตัวได้ดีในสภาพพื้นที่ที่มีช่วงแล้งยาวนาน 3-5 เดือน จำนวน 2 พันธุ์ คือ พันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3604 (RRIT 3604) และพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3906 (RRIT 3906) ถือเป็นพันธุ์ยางทางเลือกที่มีลักษณะตรงตามความต้องการของเกษตรกร ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมแผนแนะนำให้เกษตรกรปลูกต่อไป

สำหรับยางพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3604 เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์แม่ PB235 และพันธุ์พ่อ RRIM600 มีลักษณะเด่น คือให้ผลผลิตเนื้อยางแห้งสูง ตั้งแต่เริ่มเปิดกรีดปีแรกและให้ผลผลิตสูงในปีต่อมา โดยมีผลผลิตต่อต้นในแต่ละครั้งกรีด เฉลี่ย 9 ปีกรีด เท่ากับ 52.4 กรัม/ต้น/ครั้งกรีด และให้ผลผลิตน้ำยาง 9 ปีกรีด เฉลี่ย 392 กิโลกรัม/ไร่/ปี สูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ RRIM 600 ที่ปลูกในแปลงทดสอบเดียวกัน ร้อยละ 119 ทั้งยังมีการเจริญเติบโตในระดับดี มีขนาดรอบลำต้นเมื่ออายุ 15 ปี เฉลี่ย 70.4 เซนติเมตร โตกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ และมีขนาดลำต้นสม่ำเสมอกันภายในแปลงดี ทำให้มีต้นเปิดกรีดได้ในปีแรกสูง

ส่วนพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3906 เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์แม่ RRIC121 กับพันธุ์พ่อ RRIC 7 มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตเนื้อยางแห้งสูงมาก ตั้งแต่เริ่มเปิดกรีดปีแรกและให้ผลผลิตสูงในปีถัดมาเช่นกัน โดยมีผลผลิตต่อต้นในแต่ละครั้งกรีด เฉลี่ย 7 ปีกรีด เท่ากับ 66.4 กรัม/ต้น/ครั้งกรีด และให้ผลผลิตน้ำยางเฉลี่ย 7 ปีกรีด เท่ากับ 458 กิโลกรัม/ไร่/ปี สูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ RRIM 600 ร้อยละ 386 ขณะเดียวกันยางพันธุ์นี้ ยังมีการเจริญเติบโตในระดับดี โดยมีขนาดรอบลำต้นเมื่ออายุ 12 ปี เฉลี่ย 51.5 เซนติเมตร ซึ่งโตกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ ร้อยละ 4

ทางด้าน นางกรรณิการ์ ธีระวัฒนสุข นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิตยางพาราในเขตปลูกใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจำเป็นต้องเลือกใช้พันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีปริมาณน้ำฝนน้อย และมีช่วงแล้งยาวนานกว่าภาคใต้ นอกจากนี้ ดินยังมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าด้วย การใช้พันธุ์ยางพาราที่เหมาะกับพื้นที่ปลูกจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับเกษตรกรได้ ซึ่งยางพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3604 และพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3906 ถือว่ามีศักยภาพเหมาะสมกับพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง

“กรมวิชาการเกษตร ได้เตรียมแผนผลิตกิ่งตายางทั้ง 2 พันธุ์ ดังกล่าว เพื่อเตรียมพร้อมรองรับความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่สนใจใช้พันธุ์ยางพันธุ์นี้ ทั้งยังมีแผนดำเนินการวิจัยต่อยอดและทดสอบการปรับตัวของยางพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3604 และพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 3906 ในระดับแปลงเกษตรกร และวิธีที่เกษตรกรปฏิบัติต่อต้นยาง อาทิ การใส่ปุ๋ย และการกรีด ซึ่งเกษตรกรมีวิธีปฏิบัติแตกต่างกับหลักวิชาการ รวมทั้งวิจัยต่อยอดเกี่ยวกับความต้านทานโรคต่างๆ อาทิ โรคใบร่วงราแป้ง โรคใบจุดก้างปลา และโรคไฟทอปทอร่า เป็นต้น” นางกรรณิการ์ กล่าว

หากสนใจข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร โทร. (02) 579-7557-8 หรือศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา โทร. (038) 136-225-6 และศูนย์วิจัยยางหนองคาย โทร. (042) 490-924

ดาวน์โหลดฟรี 7 แอปพลิเคชั่น เพื่อเกษตรกร

มีข่าวสารที่น่าสนใจ แจ้งมาจาก นายวิมล จันทรโรทัย โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มีการจัดทำแอปพลิเคชั่นตามนโยบาย Digital Agriculture ซึ่งได้รับมอบหมายจาก นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและเกษตรกรในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ 7 แอปพลิเคชั่น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพได้

โดย 7 แอปพลิเคชั่น ประกอบด้วย

1. “ฝนหลวง” Fonluang พัฒนาขึ้นเพื่อนำข้อมูลด้านฝนหลวงมาแสดงบนอุปกรณ์ Smartphone และ Tablet เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดทูลในพระปรีชาสามารถ พระราชกรณียกิจฝนหลวง ในฐานะ “พระบิดาฝนหลวง” อีกทั้งเป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการสื่อสารเผยแพร่หน่วยงาน จากผู้ปฏิบัติงานสู่ประชาชนโดยตรง

2. Q Restaurant เพื่อประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการประกอบอาหาร ได้แก่ พวกวัตถุดิบหรือสินค้าที่ผ่านมาตรฐานจากแปลง GAP รวมทั้งวัตถุดิบที่ปลอดภัย ซึ่งแอปพลิเคชั่นนี้เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่สนใจร้านอาหารที่มีความปลอดภัยได้คุณภาพ โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชั่น แล้วจะปรากฏข้อมูลร้านอาหารที่อยู่ใกล้ หรือสามารถค้นหารายจังหวัด หรือเลือกเฉพาะเจาะจงร้านที่สนใจ และสามารถแสดงเส้นทางการเดินทางจากตำแหน่งปัจจุบันไปยังร้านอาหารที่ต้องการจะไปได้

3. ProtectPlants เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคพืชและศัตรูพืช พร้อมทั้งมีฟังก์ชั่นเด่นที่คอยติดตามการระบาดศัตรูพืช เพื่อให้เกษตรกรป้องกันได้ทันท่วงที แอปพลิเคชั่นประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นหลัก 6 หมวด ได้แก่ ข่าวสาร องค์ความรู้ด้านอารักขาพืช วินิจฉัยศัตรูพืชเบื้องต้น วินิจฉัยตามชนิดพืช พยากรณ์เตือนการระบาด พยากรณ์สภาพอากาศ

4. DOAESmartCheck เพื่อให้เกษตรกรใช้ตรวจสอบติดตามสถานะผลการปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร และการเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือของรัฐตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยจ่ายเงินให้แก่ชาวนาและชาวสวนยางพารา ไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา โดยให้ใช้ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตรนำไปตรวจสอบสิทธิและรับรองสิทธิ์

5. ปุ๋ยรายแปลง โปรแกรมคำแนะนำการจัดการดินและปุ๋ยรายแปลง (พัฒนาขึ้น ปี 2557) พัฒนาขึ้นทั้งในรูปแบบ Web Application เพื่อใช้งานผ่าน Web Browser บนเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) และผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลด Application นี้ไปติดตั้งบนเครื่อง Smart Phone หรือ Tablet

6. WMSC เพื่อจัดเก็บรวบรวมข้อมูลและนำเสนอข้อมูลข่าวสารในการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ ข้อมูลปริมาณน้ำฝน ข้อมูลปริมาณน้ำท่า ข้อมูลปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ข้อมูลอัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำ คลองชลประทานต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริหารกรมชลประทานหรือผู้เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งสามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารแก่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และ

7. Feed โปรแกรมประยุกต์การคำนวณปริมาณการให้อาหารกุ้งขาว เป็นเครื่องมือเกษตรกรยุคใหม่ : Smart tools for smart farmer จะช่วยให้เกษตรกรสามารถแก้ไขปัญหาในการเลี้ยงกุ้งและมีผลผลิตเพิ่มขึ้น และเกษตรกรจำนวนมากมีความต้องการใช้เครื่องมือใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาการเลี้ยงกุ้งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งโปรแกรมที่ช่วยในการให้อาหารอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ สามารถเข้าไปโหลดแอปพลิเคชั่นทั้งหมดได้ โดยใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ที่หน้าเว็บไซต์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แล้วตามลิงก์นี้ http://www.moac.go.th/ewt_news.php?nid=14725

Leave a comment