ศรชัย กัปตพล เกษตรกรเมืองมะขามหวาน ผู้ตั้งปณิธาน ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เป็นจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05072010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

เศรษฐกิจพอเพียง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วัลลภ พรหมทอง คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ศรชัย กัปตพล เกษตรกรเมืองมะขามหวาน ผู้ตั้งปณิธาน ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เป็นจริง

คุณศรชัย กัปตพล เกษตรกรปริญญา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเกษตรทั่วไป จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งแต่เดิมนั้น คุณศรชัยก็ไม่แตกต่างจากเกษตรกรทั่วไปรายอื่นๆ เท่าใดนัก ปกติหน้าฝนก็จะทำนา ส่วนหน้าแล้งก็จะปลูกผัก ปลูกยาสูบ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรทั่วไปในแถบนั้น ปีไหนผลผลิตราคาดี ก็พอมีพอกินพออยู่ได้ แต่ถ้าปีไหนราคาผลผลิตตกต่ำ มีปัญหาเรื่องฝนแล้ง โรคแมลงระบาด เกษตรกรก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน

คุณศรชัย กัปตพล มีอาชีพทำนา มาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างครอบครัวในพื้นที่ของตัวเอง จำนวน 13 ไร่ จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2544 เขาได้ยินได้ฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” เขาจึงเกิดความสนใจอยากลองทำดูบ้าง โดยเริ่มต้นจากกู้เงิน ธ.ก.ส. มา 30,000 บาท มาจ้างขุดบ่อในพื้นที่แปลงนาที่มีอยู่ แล้วเอาดินมาถมที่สำหรับเป็นพื้นที่ปลูกพวกพืชผักและไม้ผล เช่น ตะไคร้ ชะอม ชมพู่ และไม้ผลอื่นๆ ผลก็คือทำให้มีรายได้ทั้งปี จากการจำหน่ายผลผลิตที่ได้ ทำให้ชำระหนี้งวดแรกหมด จึงได้กู้เงินมาเพิ่มอีก 100,000 บาท เพื่อขุดบ่อเพิ่มอีก เป็นเนื้อที่ 2 ไร่ และนำดินมาถมที่ได้ประมาณ 2 ไร่ เป็นพื้นที่สำหรับปลูกพุทรา และบริเวณขอบบ่อก็ปลูกตะไคร้ป้องกันขอบบ่อพังทลาย ปรากฏว่าทั้งตะไคร้และพุทราให้ผลผลิตดี ราคาสูง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละนับแสนบาททีเดียว

การดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรของ คุณศรชัยนั้น เขาได้จัดรูปแบบเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ในลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างครบถ้วน กล่าวคือ เขาได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย บ่อน้ำ จำนวน 2 บ่อ เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ พื้นที่ทำนา ประมาณ 4 ไร่ พื้นที่ปลูกพืช ประมาณ 4 ไร่ ที่อยู่อาศัย ประมาณ 2 ไร่

บ่อน้ำ ทั้ง 2 บ่อ เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่นั้น คุณศรชัยใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้ในการปลูกพืชช่วงฤดูแล้ง บริเวณขอบบ่อปลูกตะไคร้เพื่อป้องกันขอบบ่อพังทลาย ผลพลอยได้คือ เก็บตะไคร้ขายได้ปีละหลายหมื่นบาททีเดียว และเป็นรายได้หลักเช่นกัน ซึ่งเป็นการประยุกต์แนวคิดจากการปลูกหญ้าแฝกบริเวณขอบบ่อเพื่อป้องกันดินพังทลาย เพราะการปลูกตะไคร้แทนหญ้าแฝกบริเวณขอบบ่อจะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่า คือ ตัดต้นตะไคร้ขาย ส่วนใบตะไคร้จะช่วยลดการระบาดของแมลงบางชนิด เพราะใบตะไคร้มีกลิ่นฉุน แมลงไม่ชอบ และภายในบ่อก็เลี้ยงปลา มีทั้งปลากินพืช คือ ปลานิล และปลากินเนื้อ คือ ปลาดุก อาหารปลาก็ได้มาจากผลพลอยได้จากสวน เช่น เศษผักเศษหญ้าต่างๆ ส่วนปลากินเนื้อนั้น อาหารหลักคือ แมลงที่ดักได้จากแปลงพืช นับว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำ แต่กำไรสูง มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สอดคล้องแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงทุกประการ

นาข้าว ในพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ คุณศรชัยใช้สำหรับปลูกข้าว โดยทำนาในฤดูฝนหรือนาปีเพียงครั้งเดียว เนื่องจากในช่วงหน้าแล้งน้ำที่เก็บไว้ในบ่อคงไม่เพียงพอกับการทำนาปรัง ส่วนข้าวที่ผลิตได้ก็เก็บไว้บริโภคในครัวเรือน ที่เหลือก็ขาย แต่มีปริมาณไม่มากนัก ซึ่งถือว่าการขายข้าวไม่ใช่รายได้หลักของครอบครัว

แปลงปลูกพืช ในเนื้อที่ ประมาณ 4 ไร่ ซึ่งแปลงปลูกพืชนี้ จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ พืชหลักที่ปลูกคือ ชะอมและพุทรา โดยปลูกอย่างละแปลง เนื้อที่อย่างละประมาณ 2 ไร่ แปลงแรกเป็นแปลงปลูกชะอม อยู่ทางทิศเหนือติดกับบ่อน้ำ สะดวกในการรดน้ำและดูแลรักษา ส่วนแปลงพุทรา (พันธุ์ 3 รส) อยู่ทางทิศใต้ ติดกับบ่อน้ำอีกบ่อ ส่วนตะไคร้นั้น ส่วนใหญ่ปลูกบริเวณรอบๆ ขอบบ่อ นอกจากพืชที่เป็นรายได้หลักทั้ง 2 ชนิดแล้ว คุณศรชัย ยังปลูกพืชชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น มะม่วง ลำไย กล้วย แก้วมังกร ไผ่ และผักสวนครัว ซึ่งพืชเหล่านี้จะปลูกในจำนวนไม่มากนัก ปลูกไว้บริโภคในครัวเรือน หากเหลือก็นำไปแจกญาติมิตรและเพื่อนบ้าน

เนื่องจากการปลูกพุทราของคุณศรชัย เป็นการปลูกแบบอินทรีย์ คือไม่ใช้สารฆ่าแมลง จึงมีการติดตั้งหลอดไฟเพื่อดักแมลงที่จะมากัดกินหรือทำลายผลผลิต เป็นการนำความรู้ทางวิชาการสมัยใหม่ผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าด้วยกัน โดยติดตั้งหลอดไฟไว้ล่อแมลง เมื่อแมลงมาเกาะที่แผ่นพลาสติก แมลงก็จะล่วงตกลงไปในอ่างน้ำที่รองไว้บนพื้น วัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นการป้องกันกำจัดแมลง และแมลงที่ดักได้ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือแมลงที่มีขนาดใหญ่ (บริโภคได้) ก็นำไปทอดจำหน่าย ส่วนแมลงขนาดเล็ก ก็นำไปเลี้ยงปลาในบ่อ เป็นการประหยัดค่าอาหารปลา กรณีนี้ไม่ผิดจากคำพังเพยโบราณที่ว่า “ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 ตัว”

อีกกรณีหนึ่งที่น่าทึ่งสำหรับการปลูกพุทราภายในสวนของคุณศรชัยคือ การทำสาวต้นพุทรา เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง-คุณภาพดี ไม่ให้ต้นสูงเกินไป เก็บเกี่ยวลำบาก เป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง มีเคล็ดลับในการทำสาวต้นพุทราโดยการตัดปลายยอดให้เหลือไว้ ประมาณ 2 เมตร แล้วควั่นที่โคนต้น เพื่อให้ต้นเดิมตายและแตกกิ่งใหม่ที่ตอด้านข้าง ส่วนต้นเดิมที่ตายไปนั้น ในระยะแรกก็เก็บไว้เป็นหลักสำหรับผูกพยุงต้นที่แตกขึ้นมาใหม่ เมื่อต้นใหม่แข็งแรงดีแล้ว จึงตัดต้นเดิมที่ตายนั้น แล้วนำไปเผาถ่านเพื่อเก็บน้ำส้มควันไม้ ได้ทั้งถ่านและน้ำส้มควันไม้สำหรับนำไปใช้ในการป้องกัน-กำจัดแมลง

ที่อยู่อาศัย…คุณศรชัย ได้ใช้พื้นที่ ประมาณ 2 ไร่ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ประกอบด้วยบ้านพักอาศัย จำนวน 1 หลัง มีลานจอดรถ เล้าไก่พื้นเมือง เตาเผาถ่านน้ำส้มควันไม้ และบริเวณทำน้ำหมักชีวภาพสำหรับใช้เป็นปุ๋ยในการปลูกพืช นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับเป็นที่นัดพบของแขกหรือเกษตรกรที่มาเยี่ยมชมหรือศึกษาดูงาน รวมทั้งพื้นที่สำหรับวางและคัดแยกผลผลิตก่อนนำไปจำหน่าย

จากการทุ่มเทในการทำการเกษตรอย่างเต็มพละกำลังและความสามารถของคุณศรชัยและครอบครัว ทำให้มีรายได้อย่างเพียงพอ มีความเป็นอยู่อย่างสบายตามอัตภาพ ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินเช่นเกษตรกรทั่วไปรายอื่นๆ และสามารถส่งบุตรทั้ง 2 คน เรียนจนจบระดับปริญญาตรี รายได้หลักของครอบครัวประกอบด้วย รายได้จากการจำหน่ายชะอม เป็นเงินประมาณ 70,000 บาท ต่อปี จำหน่ายตะไคร้ เป็นเงินประมาณ 40,000-50,000 บาท ต่อปี และจากการจำหน่ายพุทรา เป็นเงินประมาณ 40,000-50,000 บาท ต่อปี ส่วนผลผลิตอื่นๆ เช่น ปลา ไก่ และไข่ สามารถจำหน่ายได้บ้าง แต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน

จากปณิธานที่แน่วแน่ในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ คุณศรชัย กัปตพล โดยยึดหลัก พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี โดยมีรูปแบบดังนี้

พอประมาณ…คือ ทำเท่าที่ตนเองทำได้ ไม่มากไม่น้อย มีความพอดี ใช้แรงงานในครอบครัวตนเองเป็นหลัก

มีเหตุผล…คือ ปลูกพืชครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้ในระยะเวลายาวนาน เช่น ชะอม พุทรา และยังสามารถนำต้นพุทราไปเผาถ่าน เก็บน้ำส้มควันไม้ไว้ป้องกันกำจัดแมลง ใช้กิ่งทำฟืนหุงต้ม ประหยัดเชื้อเพลิงพวกก๊าซธรรมชาติ

มีภูมิคุ้มกันในตัวเองที่ดี…คือ ไม่ว่าภายภาคหน้าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ก็สามารถที่จะอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน เพราะมีรายได้ที่มั่นคง มีอาหารไว้บริโภคอย่างเพียงพอ เช่น ข้าว พืชผัก ปลา ไก่ และไข่

ภายใต้เงื่อนไข

– ความรู้ …(รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) คือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินกิจการ เช่น การนำระบบน้ำแบบมินิสปริงเกลอร์มาใช้ในแปลงปลูกพืช เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ ประหยัดเวลา และไม่ทำให้มีวัชพืชขึ้นในแปลงเป็นจำนวนมาก

– คุณธรรม…(ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน) คือ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ สุจริตต่อลูกค้า ทำงานหนักและอดทนต่อความยากลำบาก ให้การแบ่งปันทั้งสิ่งของและความรู้มากมาย เช่น การเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง มีนักวิชาการ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปมาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมาก เช่น อธิบดีเกษตรประเทศเวียดนาม คณะ อบต. จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ นักเรียน/นักศึกษา ภายในจังหวัดและต่างจังหวัด เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้เอง คุณศรชัย จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นเหรัญญิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต คณะกรรมการกองทุนเงินล้าน ครูบัญชีเกษตรอาสา ประมงอาสา หมอดินอาสา ฯลฯ และจากการที่เป็นบุคคลที่ทรงความรู้ด้านการเกษตรและถ่ายทอดความรู้ไปยังบุคคลอื่นๆ โดยไม่หวงความรู้ จึงทำให้ได้รับรางวัลมากมาย เช่น

– ปี 2546 รางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาไร่นาสวนผสม รางวัลที่ 3 ของจังหวัดเพชรบูรณ์

– ปี 2549 รางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ของจังหวัดเพชรบูรณ์

– ปี 2549 รางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาเศรษฐกิจพอเพียงของภาคเหนือ

– ปี 2549 รางวัลเกษตรกรดีเด่น รางวัลที่ 2 สาขาไร่นาสวนผสมของภาคเหนือ

– ปี 2549 รางวัลชมเชยเกษตรกรดีเด่น สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ระดับประเทศ

– ปี 2549 สวนของคุณศรชัย กัปตพล ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งฟาร์ม

คุณศรชัย กัปตพล ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจจะไม่ได้ทำให้ร่ำรวยมากนัก แต่ไม่ต้องไปหางานทำที่อื่น ที่สำคัญมีอาหารที่ปลอดภัยไว้บริโภค ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้มีความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว…สนใจรายละเอียด หรือข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณศรชัย กัปตพล บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 8 ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 67110 โทร. (085) 729-6938 หรือ (086) 212-7050

Leave a comment