ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05074010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606 |
เศรษฐกิจพอเพียง
ธีรวุฒิ เหล่าสงคราม
ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง นครสวรรค์ สุพจน์ โคมณี ยินดีนำเสนอ
อำเภอชุมแสง เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ อยู่ห่างจากตัวเมืองนครสวรรค์ ประมาณ 39 กิโลเมตร อำเภอชุมแสงมีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหลายที่ อากาศค่อนข้างร้อน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา
คุณวิโรจน์ ชลวิริยะกุล เกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ เล่าว่า สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ เป็นหน่วยงานที่ได้น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปรับใช้ในการดำเนินงาน ในส่วนของการถ่ายทอดและศึกษาดูงาน ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน ของ คุณสุพจน์ โคมณี เป็นแหล่งเรียนรู้หลัก ซึ่งมีการอบรมตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2551 จนถึง ปี พ.ศ. 2558 มีเกษตรกรเฉพาะเครือข่ายของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ ที่ผ่านการอบรมแล้ว 2,803 ครัวเรือน เป็นเกษตรกรที่อาศัยอยู่ภายใน 15 อำเภอ ของจังหวัดนครสวรรค์ และได้นำความรู้ที่ได้จากศูนย์แห่งนี้ไปขยาย และถ่ายทอดในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องการทำนา การเลี้ยงปลาในแปลงนา การปลูกผักยกแคร่ นอกจากเกษตรกรที่มาเรียนรู้ในศูนย์แห่งนี้แล้ว ยังมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาศึกษาเรียนรู้ที่ศูนย์แห่งนี้เป็นจำนวนมาก ทางศูนย์มีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์เป็นอย่างมาก เพราะทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ ให้ความสำคัญในการน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำการเกษตรของเกษตรกรภายในจังหวัด
รู้จริง ทำจริง
คุณสุพจน์ กล่าวว่า ก่อนที่จะมาจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน จังหวัดนครสวรรค์ ที่บ้าน เลขที่ 9 หมู่ที่ 6 ตำบลหนองกระเจา อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แห่งนี้ ตนเองประกอบอาชีพเกษตรกรรมสืบทอดมาจากบิดา มารดาของตน เป็นการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ที่เน้นเรื่องปริมาณ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางด้านฤดูกาล บางปีน้ำหลาก บางปีน้ำแล้ง การเพาะปลูกจึงไม่ประสบความสำเร็จ ปี พ.ศ. 2536 คุณสุพจน์ ได้เข้าร่วมฝึกอบรมการทำเกษตรแบบผสมผสานของจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อได้รับความรู้จากการอบรมในครั้งนั้น ก็ได้นำความรู้นั้นมาปรับเปลี่ยนทัศนคติและวิธีการทำเกษตรกรรมของตนเอง จากที่เน้นเรื่องปริมาณผลผลิตเพื่อการค้า มาเป็นการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองเพื่อบริโภคในครัวเรือน ปี พ.ศ. 2538 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในอำเภอชุมแสง ทำให้ไร่นาที่ตนเองทำได้รับความเสียหายจนทำให้เกิดหนี้สินจำนวนมาก
ปี พ.ศ. 2539 ได้ตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำมาฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูก และริเริ่มทำการเกษตรตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ และซื้อที่ดินเพิ่มอีก 20 ไร่ แบ่งสัดส่วนพื้นที่เป็น 30-30-30-10 หรือ นาข้าว 6 ไร่ พื้นที่กักเก็บน้ำ 6 ไร่ ปลูกไม้ผล 6 ไร่ ที่อยู่อาศัย ปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ 2 ไร่ ชีวิตครอบครัวเริ่มดีขึ้น มีผลผลิตเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน ส่วนที่เหลือก็สามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้
ปี พ.ศ. 2539-2541 เริ่มขยายพันธุ์ไม้ผลในสวนของตนเองโดยการตอนกิ่ง เพื่อขายส่ง จนสามารถใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาจากธนาคารได้หมดภายในระยะเวลา 6 ปี จากการขายกิ่งพันธุ์ต่างๆ จึงเริ่มจัดตั้งเป็นสวนเพื่อจำหน่ายพันธุ์ได้ ในชื่อ “สวนศรีอรุณพันธุ์ไม้” และเนื่องจากในช่วงปีนี้เป็นช่วงที่ภาครัฐต้องการพันธุ์ไม้ในการแจกสูง จึงบริจาคให้กับโรงเรียน 8 แห่ง ในอำเภอชุมแสง และอำเภอหนองบัว
ปี พ.ศ. 2550 ได้เป็นศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดนครสวรรค์ ที่บ้าน เลขที่ 33 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองกระเจา อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
ปี พ.ศ. 2554 เนื่องจากพื้นที่หมู่บ้านหนองข่อย หมู่ที่ 5 นั้น ประสบปัญหาน้ำท่วม และอยู่ติดกับชุมชน จึงตัดสินใจซื้อที่ดินในหมู่ที่ 6 จำนวน 32 ไร่ และได้นำประสบการณ์จากการทำการเกษตรที่บ้านหนองข่อยมาปรับใช้ และวางแผนผังของพื้นที่ โดยเริ่มจากการมองปัญหาของที่ดินแห่งนี้ พบว่า
1. พื้นที่นี้ประสบปัญหาดินเสีย เนื่องจากเกษตรกรรายเก่าใช้สารเคมีในการทำการเกษตร
2. น้ำท่วมทุกปี
3. ไม่มีน้ำใช้ในฤดูแล้ง 3 ข้อนี้ เป็นปัญหาหลักที่พบในพื้นที่แห่งนี้ จึงเริ่มแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วม โดยการยกคันดินรอบพื้นที่ 32 ไร่ คันดินมีความสูง 3 เมตร ปัญหาเรื่องน้ำขาดแคลนในฤดูแล้ง แก้ไขโดยการสูบน้ำบาดาลมาใช้ในพื้นที่ และนำแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้ในการวางแผนผังของพื้นที่ การทำการเกษตรของที่นี่ เป็นการทำการเกษตรแบบเกื้อกูล เน้นด้านการบริหารจัดการน้ำ คิดเป็นพื้นที่น้ำทั้งหมด 8 ไร่ โดยวางระบบน้ำเป็นไหลวนรอบพื้นที่ เริ่มจากบ่อพัก ผ่านไปยังพื้นที่เลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงคือ เป็ด เลี้ยงจำนวน 40 ตัว เลี้ยงเพื่อเติมปุ๋ยให้กับน้ำและเพื่อบริโภคไข่ น้ำจะอยู่ตรงพื้นที่นี้ 7 วัน แล้วจึงปล่อยสู่บ่อพัก 8-10 วัน จึงสามารถปล่อยไปยังพื้นที่ทำการเกษตร คือพื้นที่นาข้าว พันธุ์ข้าวที่ปลูกมี พันธุ์ไรซ์เบอร์รี่ และพันธุ์หอมมะลิ 105 คิดเป็นพื้นที่นาข้าว จำนวน 8 ไร่ หลังจากผ่านพื้นที่การเกษตรจะปล่อยน้ำให้ไหลเข้าสู่บ่อเลี้ยงปลา การเลี้ยงปลาของที่นี่จะเป็นการเลี้ยงปลาแบบห่วงโซ่อาหาร โดยเลียนแบบระบบนิเวศ พันธุ์ปลาที่เลี้ยง มีพันธุ์ปลาแรด ปลาสลิด ปลาหมอ และมีการเลี้ยงหอยขมเพื่อให้เป็นอาหารของปลา เนื่องจากในช่วงแรก คุณสุพจน์ใช้ข้าวเปลือกในการเลี้ยงปลา แล้วปรากฏว่า ปลาโตช้า จนได้นำปลาที่เลี้ยงมาผ่าท้องดู และพบว่า ในท้องของปลานั้นมีหอยชนิดนี้อยู่ จึงเลี้ยงหอยขมเพื่อเป็นอาหารของปลา และปล่อยน้ำให้ไหลเวียนไปยังบ่อพัก ด้านการปลูกพืชและผัก การปลูกผักจะปลูกผักตามฤดูกาล และมีการปลูกผักแบบยกแคร่
ปลอดสารพิษ
ชีวิตมีสุข
ระบบการทำการเกษตรของที่ศูนย์แห่งนี้ เป็นเกษตรแบบปลอดสารพิษ มีไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ และเลี้ยงสัตว์ ทำการเกษตรแบบรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างพอเพียง ใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้จักคุณค่า ทำปุ๋ยอินทรีย์และชีวภาพด้วยตนเอง ทดแทนการใช้สารเคมี สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนลงได้
จากการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบอาชีพ จนกระทั่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จขยายผลองค์ความรู้ให้แก่ผู้อื่น คุณสุพจน์ จึงจัดตั้งหลักสูตรการฝึกอบรมของศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดนครสวรรค์แห่งนี้ เพื่อปรับแนวคิดและพฤติกรรมของเกษตรกร ให้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการเรียนรู้ การดำเนินกิจกรรมตามธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ในหลักสูตร “การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไรให้สัมฤทธิ์ผล” โดยมีกิจกรรม 15 ฐานเรียนรู้ ประกอบด้วย
1. ฐานการปรับแนวคิดและพฤติกรรมสู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ประโยชน์ : เป็นการปรับฐานความรู้ เพื่อการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตั้งอยู่บนทางสายกลางและความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี โดยใช้ความรู้และคุณธรรมประกอบการวางแผนและตัดสินใจ
2. ฐานการปลูกผักปลอดจากสารพิษ
ประโยชน์ : เป็นการนำหลักการทรงงาน หัวข้อ “ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด และ ทำง่าย”
3. ฐานธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ
ประโยชน์ : เป็นวิธีการเพาะเลี้ยงเชื้อราขาวหรือจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติ สามารถช่วยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ได้
4. ฐานการทำแก๊สชีวภาพ
ประโยชน์ : แก๊สชีวภาพเกิดจากกระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ สามารถนำมาใช้แทนก๊าซหุงต้มภายในครัวเรือนได้ และกากที่ได้จากการย่อยสลายสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้
5. ฐานการห่มดิน
ประโยชน์ : การห่มดิน เป็นวิธีการเพิ่มจุลินทรีย์ย่อยสลาย ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตในดินที่มีประโยชน์ต่อพืช
6. ฐานเล่นขี้ ปลดหนี้ หายจน
ประโยชน์ : เป็นวิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก ที่เป็นธาตุอาหารของจุลินทรีย์ในดิน
7. ฐานโรงปุ๋ยมีชีวิต ปลาผลิตปุ๋ย
ประโยชน์ : เป็นการใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า นำน้ำจากการเลี้ยงปลาที่มีธาตุอาหารไปใช้ในการรดพืชผักได้
8. ฐานการปลูกไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ประโยชน์ : เป็นวิธีการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ โดยใช้หลักการพึ่งพาอาศัยจากหลากหลายพันธุ์พืช เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
9. ฐานการเลี้ยงปลาตามวิถีธรรมชาติ ผลิตอาหารปลา
ประโยชน์ : เป็นการเลี้ยงปลาตามสภาพธรรมชาติ ต้นทุนต่ำ
10. ฐานพืชสมุนไพร
ประโยชน์ : เป็นการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนไทย
11. ฐานการจัดทำบัญชีครัวเรือน
ประโยชน์ : ทำให้รู้รายรับ รายจ่าย รู้หนี้สิน ใช้จ่ายอย่างรอบคอบมากขึ้น
12. ฐานการขยายพันธุ์ไม้
ประโยชน์ : สามารถขยายพันธุ์ไม้ได้โดยวิธีการต่างๆ เช่น การติดตา ตอนกิ่ง เป็นต้น
13. ฐานเกษตรทฤษฎีใหม่
ประโยชน์ : เป็นการจัดสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
14. ฐานพืชพลังงานทดแทน
ประโยชน์ : เป็นการผลิตน้ำมันบนดินใช้เอง
15. ฐานเตาเผาถ่านน้ำส้มควันไม้
ประโยชน์ : นำไปใช้เป็นสารไล่แมลง
ด้วยประสบการณ์ในการทำการเกษตรที่ยาวนาน จึงสามารถนำความรู้และประสบการณ์มาใช้ได้อย่างบูรณาการ และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ที่เข้ามาฝึกอบรมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งฐานการเรียนรู้ทั้ง 15 ฐานนี้ จะใช้เวลาในการเรียนรู้ทั้งหมด 27 ชั่วโมง โดยผู้ที่เข้ามาฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ฐานแรก และได้ลงมือปฏิบัติจริงในทุกขั้นตอน
กิจกรรมที่ทำอยู่ ได้รับความสนใจจากเกษตรกรในประเทศ รวมทั้งชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เจ้าของได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย จนระยะหลังเขาไม่ขอส่งกิจกรรมเข้าประกวด
วันที่ทีมงานแวะไปเยี่ยมชม ภรรยาคุณสุพจน์ นำผลผลิตมาทำอาหารให้กิน เริ่มจากข้าวหอมมะลิ กลิ่นหอมกรุ่น ไข่เป็ดสดๆ นำมาเจียว ผักบุ้งมาผัดกับหมู มะเขือแกงไก่
ตบท้ายด้วยขนม จากมันสำปะหลัง
พวกเราลืมตัว กินกันคนละจานสองจาน จนง่วงนอนไปตามๆ กัน
สำหรับหน่วยงาน หรือผู้ที่สนใจเข้าฝึกอบรมและหาความรู้ ติดต่อได้ที่ “ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดนครสวรรค์” เลขที่ 9 หมู่ที่ 6 ตำบลหนองกระเจา อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ โทรศัพท์ (081) 041-0911 คุณสุพจน์ โคมณี