สืบสาน “งานหม่อนไหมในเรือนจำ คืนคนดีสู่สังคม” ในพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05036010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

รายงานพิเศษ

เครือวัลย์ เวชรักษ์

สืบสาน “งานหม่อนไหมในเรือนจำ คืนคนดีสู่สังคม” ในพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

จากแนวความคิดในการส่งเสริม แนะนำ การประกอบอาชีพด้านหม่อนไหมในเรือนจำและทัณฑสถาน เพื่อพัฒนาให้ผู้ต้องขังได้มีความรู้ ทักษะ ความชำนาญ นำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้ปกติสุขภายหลังพ้นโทษ นำมาสู่การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กรมหม่อนไหมและกรมราชทัณฑ์ ในเรื่องการส่งเสริมแนะนำการประกอบอาชีพด้านหม่อนไหม เพื่อดำเนินโครงการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแก่ผู้ต้องขังก่อนการปลดปล่อย ตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

คุณวีณา พงศ์พัฒนานนท์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า โครงการดังกล่าว กรมหม่อนไหม ได้มอบหมายให้ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ น่าน ซึ่งมี คุณสำราญ สุขใจ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545 ด้วยการเข้าไปฝึกอบรมและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ตลอดจนการแปรรูปหม่อนและไหมครบวงจร แก่ผู้ต้องขังชายและหญิงก่อนการปลดปล่อย ที่ศูนย์เตรียมการปลดปล่อยเขาน้อย เรือนจำชั่วคราวเขาน้อย อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ของกรมราชทัณฑ์

เมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม 2548 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงตรวจเยี่ยมกิจการของเรือนจำจังหวัดน่าน โดยได้พระราชทานข้อเสนอแนะว่า “การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในจังหวัดน่านได้แนะนำส่งเสริมมานานแล้ว แต่ยังไม่มีที่ไหนทำ คงจะมีเรือนจำนี้ทำเป็นแห่งแรก แต่ควรให้ครบวงจร ตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม และจำหน่าย ฉันจะเป็นลูกค้าให้เอง”

จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมกุมารี กรมหม่อนไหม จึงได้พัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ศูนย์เตรียมการปลดปล่อยเขาน้อย ได้ขยายพื้นที่ปลูกหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์ 60 สำหรับเลี้ยงไหม 18 ไร่ และปลูกหม่อนผลสด พันธุ์เชียงใหม่ 3 ไร่ ห้องเลี้ยงไหม 2 ห้อง และได้สนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น กี่ทอผ้า พวงสาวไหม วัสดุการแปรรูปผลิตภัณฑ์หม่อนไหม เป็นต้น รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีเกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การทอผ้า การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนและไหม หลายหลักสูตร หลายรุ่น จนสามารถมีผลผลิตที่น่าพอใจ และยังสามารถนำไปจำหน่ายได้ในระดับหนึ่ง

ต่อมา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ทรงติดตามงานการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ที่พื้นที่เรือนจำชั่วคราวเขาน้อย และได้ตรัสแก่ผู้บริหารของกรมหม่อนไหมและกรมราชทัณฑ์ ให้ขยายผลโครงการสู่ทัณฑสถานแห่งอื่นด้วย กรมหม่อนไหม จึงได้มอบหมายให้ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ซึ่งมี คุณนคร มหายศนันท์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ประสานความร่วมมือกับทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ดำเนินโครงการดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา

โดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้สนับสนุนงบประมาณ และวัสดุอุปกรณ์ เช่น เส้นไหม วัสดุอุปกรณ์ในการฟอกย้อมและการทอผ้า ตลอดจนการฝึกอบรมการฟอกย้อมสีเส้นไหมและการทอผ้าไหม ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ผู้ต้องขังหญิงที่นี่ได้รู้จักและสามารถผลิตผ้าไหมภูมิปัญญาไทยที่เป็นมรดกอันทรงคุณค่าของไทยเรา

ด้าน คุณอารีรัตน์ เทียมทอง ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการดังกล่าวร่วมกันว่า เดิมทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ มีการทอผ้าฝ้ายมาบ้างแล้ว และมีแนวคิดที่จะส่งเสริมเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาการทอผ้าไหมให้ผู้ต้องขังหญิงเช่นกัน ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ต้องขังอยู่ประมาณ 1,500 คน เป็นพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้มีพระราชดำริให้ขยายผลโครงการ ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่จึงมีโอกาสได้สนองงานพระราชดำริดังกล่าว

นอกจาก กรมหม่อนไหม จะช่วยริเริ่มโครงการดังกล่าวให้กับผู้ต้องขังที่นี่แล้ว ในเวลาต่อมาทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ยังได้รับความร่วมมือจากเทศบาลตำบลสันกำแพง สภาวัฒนธรรมอำเภอสันกำแพง สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น อีกด้วย

ในช่วงแรกของการเริ่มโครงการนั้น เป็นการนำเส้นไหมไทยพื้นบ้านที่ได้จากการฝึกอบรมฟอกย้อมมาทอเป็นผ้าพื้น ต่อมาทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ได้ติดต่อวิทยากร จากสำนักงานอุตสาหกรรมเชียงใหม่ คือ คุณวิเชียร เสนาธรรม และ คุณอุษา เสนาธรรม มาสอนการทอผ้า ตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน การคัดเลือกเส้นไหม ผ้าทอลายต่างๆ การกำหนดสีลายผ้าไหม การกรอเส้นไหม การด้นเดินเส้นไหม การเก็บตะกอ การซ่อมแซมและปรับปรุงกี่ทอผ้า เป็นต้น โดยเฉพาะการทอผ้าไหมยกดอกลำพูน ที่ต้องใช้ความละเอียดประณีตบรรจงมาก

ปัจจุบัน ในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่มีกี่ทอผ้า ทั้งกี่ผ้าไหมและผ้าฝ้าย ประมาณ 30 หลัง โดยผู้ต้องขังสามารถทอผ้าไหมได้หลากหลาย อาทิ ผ้าพื้น ผ้าไหมสันกำแพง ผ้าไหมยกดอกลำพูนลายต่างๆ เช่น ลายขอบกนก ลายพังพวย ลายพิกุลนางพญา ลายพานพุ่มใหญ่ ลายพิกุลเหลี่ยม ลายดาวล้อมเดือน เป็นต้น และในอนาคต ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่แห่งนี้ มีแนวคิดจะพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และของประเทศต่อไป

จากพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการคืนคนดีสู่สังคม ให้กับผู้ต้องขังก่อนการปลดปล่อย สู่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จนนำเส้นใยถักทอเป็นผ้าไหมที่สวยงามวิจิตร เกิดจากความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินโครงการทุกฝ่ายสู่ผู้ต้องขัง ที่ได้ตั้งใจเรียนรู้ เสริมสร้างทักษะความชำนาญ จนสามารถบรรจงสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จากหม่อนและผ้าไหมได้อย่างหลากหลาย

ซึ่งโครงการนี้ นอกจากจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับสังคมและตนเองในระหว่างที่ต้องขังแล้ว ยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ต้องขังให้เกิดความภาคภูมิใจ และปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมเป็นคนดี สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้ปกติสุขภายหลังพ้นโทษ สมดังพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อไป

Leave a comment