ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05101010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606 |
ท่องเที่ยวเกษตร
พิงค์บุ๊ก
แวะชม “งานเกษตรครบวงจร” ที่หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ในศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด พระนครศรีอยุธยา
“กินข้าวให้หมดจานนะลูก อย่ากินทิ้งกินขว้าง สงสารพระแม่โพสพ สงสารชาวนากันบ้าง” เชื่อว่า ลูกหลานไทยหลายคนคงจะเคยได้ยินพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พร่ำสอนในลักษณะนี้กันมาบ้าง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่บริโภคข้าวอย่างไม่ใส่ใจ กินเหลือทิ้งในจาน เหตุเพราะพวกเขาไม่รู้จักต้นข้าว ไม่รู้วิธีการทำนาปลูกข้าวในแต่ละขั้นตอนว่า กว่าจะได้ข้าวแต่ละเมล็ด ชาวนาต้องทำงานหนักและเหนื่อยยากสักแค่ไหน
เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยที่อยู่อาศัยในชุมชนเมืองใหญ่ ได้ร่วมเรียนรู้การทำการเกษตรแบบดั้งเดิม และเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการปลูกข้าว ในฐานะพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และรากฐานวิถีชีวิตของคนไทย สถานีวิทยุจราจรเพื่อสังคม (TRS 99.5) จึงได้จัด โครงการ “ปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ” ครั้งที่ 12 โดยนำพาสมาชิก TRS Fan club และตัวแทนหน่วยงานภาคีกว่า 120 ท่าน ร่วมศึกษาการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จากชาวบ้านหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ณ โครงการก่อสร้างศิลปาชีพเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โครงการก่อสร้างศิลปาชีพเกาะเกิด
ปัจจุบัน โครงการศิลปาชีพ ตำบลเกาะเกิด ตั้งอยู่ เลขที่ 999 หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการนี้เกิดจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นแหล่งรวมงานศิลปาชีพ ผลิตผลทางการเกษตร และหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงตัวอย่าง ปัจจุบัน โครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการ ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ แต่พื้นที่แห่งนี้กำลังเป็นที่สนใจของคนไทยจำนวนมาก ในฐานะเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจร และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พลเอกมนัส คล้ายมณี ประธานคณะทำงานโครงการก่อสร้างศิลปาชีพเกาะเกิด กล่าวว่า โครงการศิลปาชีพ ตำบลเกาะเกิด จากแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์จะจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพแห่งใหม่ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมศิลปวัฒนธรรมของทุกภาค เป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนไทยให้คงอยู่สืบไป โดยทรงให้เลือกหาสถานที่ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก ซึ่งคณะกรรมการดำเนินงานได้พิจารณาเลือกพื้นที่บริเวณตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสถานที่ก่อสร้างศูนย์ศิลปาชีพแห่งใหม่ เมื่อ ปี 2541
ปัจจุบัน โครงการศิลปาชีพ ตำบลเกาะเกิด มีพื้นที่ประมาณ 2,028 ไร่ ได้จัดสรรการใช้ประโยชน์ออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ทำเกษตรกรรม กลุ่มอาคารพิพิธภัณฑ์ กลุ่มอาคารฝึกงาน ที่พักอาศัยของสมาชิกศิลปาชีพ และกลุ่มหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน ใช้งบประมาณของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ไปแล้วหลายพันล้านบาท ขณะนี้แผนการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 50% สามารถฝึกสอนนักเรียนด้านการแกะสลักไม้ ที่ทรงคัดเลือกจากชาวบ้านชนบทที่ยากจน สร้างหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงตัวอย่าง จำนวน 21 หลัง ผลผลิตทางการเกษตร จำหน่ายภายใต้ชื่อโครงการศิลปาชีพเกาะเกิด โดยวางจำหน่ายที่ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้า
“ทุกวันนี้ ทางโครงการได้จ้างงานชาวบ้านในท้องถิ่น เดือนละ 2 ล้านบาท และมีผลผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ ได้แก่ ข้าว พืชผัก ไม้ผล วางจำหน่ายหน้าโครงการ มีรายได้ประมาณ เดือนละ 1 ล้านบาท แม้ตัวเลขรายได้จะน้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เพราะนี่คือ “กำไรของแผ่นดิน” ซึ่งเป้าหมายสำคัญในการทรงงานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมุ่งมั่นสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้มีรายได้ที่มั่นคง จนสามารถยกฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน” พลเอกมนัส กล่าว
ชมเพลิน “ฟาร์มเกษตรครบวงจร”
ภายในโครงการมีการดำเนินกิจกรรมการเกษตรหลากหลายอย่างครบวงจร จุดแรกที่แวะชมคือ จุดเรียนรู้เรื่องดินและปุ๋ย มีเจ้าหน้าที่สาธิตการทำ อีเอ็ม บอล ที่ทำจากวัสดุหาง่ายในท้องถิ่น ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากนำรำละเอียด 2 ส่วน รำหยาบ 1 ส่วน ทรายละเอียด 1 ส่วน มาผสมกับ สาร อีเอ็ม กากน้ำตาล และน้ำ ในอัตราส่วน 1:1:20 ความชื้นพอเหมาะที่จะปั้นเป็นก้อนได้ เมื่อนำไปใช้งาน จะใช้วิธีการโยนหรือเหวี่ยงไปทั่วๆ บริเวณน้ำเน่าเสียก่อนได้ โดยทั่วไป อีเอ็ม บอล ขนาดเท่าลูกเปตอง สามารถบำบัดน้ำได้ 10 ลูกบาศก์เมตร
ใกล้ๆ กันมีจุดสาธิต “การทำดินปลูกต้นไม้” ที่มีวัตถุดิบสำคัญ ประกอบด้วย ดิน ขุยมะพร้าว ปุ๋ยโบกาฉิ ใบไม้บด โดไลไมท์ กากน้ำตาล น้ำหมักซาวข้าว และ อีเอ็ม วิธีทำ ให้เอาส่วนต่างๆ มาผสมดินตามสัดส่วน ให้มีความชื้น 40% ก็นำไปใช้งานได้ทันที เจ้าหน้าที่แนะนำให้ใช้ดินสูตรนี้รองก้นหลุมสำหรับปลูกต้นไม้ หรือนำไปขยายพันธุ์เพาะพืช เช่น เมล็ดผัก เมล็ดพันธุ์ไม้ยืนต้น หรือใช้เป็นปุ๋ยใส่พืชได้ทุกชนิด
อีกจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ การทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ (โบกาฉิ) เริ่มจากเตรียมมูลสัตว์ รำข้าว แกลบน้ำหมักซาวข้าว อีเอ็ม ใบไม้บด กากน้ำตาล และโดไลไมท์ วิธีทำ ให้นำวัตถุดิบส่วนต่างๆ มาผสมดินตามสัดส่วน ให้มีความชื้น 30-40% จะหมักเป็นกองใส่ถุงปุ๋ยหรืออัดใส่ถุง ใช้เวลาหมัก 7-15 วัน วิธีใช้ ในการเตรียมแปลง ควรใช้ปุ๋ยสูตรนี้ก่อนพรวนดิน ไร่ละ 100 กิโลกรัม หากต้องการดูแลบำรุงดิน ควรใส่ปุ๋ย ตารางเมตรละ 2-3 กำมือ เดือนละ 2-3 ครั้ง และปุ๋ยสูตรนี้ยังเหมาะสำหรับใช้ในการเตรียมบ่อหรือบำบัดน้ำในบ่อเลี้ยงกุ้งและปลาอีกด้วย ข้อดีของการใช้ปุ๋ยสูตรนี้คือ ทำให้ดินร่วนซุย และมีธาตุอาหารทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตดี ทนต่อสภาวะแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้กับพืชไร่ ไม้ผล พืชผักทุกชนิด
ทุกพื้นที่ในโครงการนำมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ที่นี่ได้รวบรวมสายพันธุ์กล้วย มะม่วง และทุเรียนสายพันธุ์โบราณหายากไว้มากมายหลายสายพันธุ์ และมีแปลงปลูกไม้ผลนานาชนิด เช่น กล้วย มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม ขนุน กระท้อน ฯลฯ กลุ่มพืชผักสวนครัว คือผลผลิตหลักของโครงการ ที่นี่มีแปลงปลูกพืชผักทั้งลงแปลงเพาะและปลูกแซมตามร่องสวน หมุนเวียนตามความต้องการของตลาด เช่น พริก มะเขือ แตงกวา คะน้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังปลูกไม้ดอกไม้ประดับ เช่น กล้วยไม้ ดาวเรือง โมก และแก้ว ฯลฯ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อดอกไม้ประดับบริเวณพื้นที่โครงการ
งานประมง
ภายในบริเวณโครงการมีสระน้ำขนาดใหญ่ ที่เหมาะแก่การทำกิจกรรมประมงทั้งแบบเลี้ยงในกระชังและปล่อยตามธรรมชาติ ปัจจุบันทางโครงการได้เลี้ยงปลาหลากหลายชนิด เช่น ปลานิล ปลาแรด ปลาเทโพ ปลาบึก ฯลฯ เมื่อปลาเติบโตได้ขนาด จะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทปลาตากแห้ง นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้ปล่อยปลาลงสระน้ำเพื่อการอนุรักษ์อีกด้วย เช่น ปลาตะเพียน ปลาตะเพียนทอง เป็นต้น
ทางโครงการได้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นจุดสาธิตการเลี้ยงกบ ภายใต้การดูแลของกรมประมง ฟาร์มแห่งนี้ได้เลี้ยงกบจำนวน 3 สายพันธุ์ คือ “กบนา” ซึ่งเป็นกบขนาดกลาง ผิวสีน้ำตาลปนดำ สีอาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามแหล่งที่อยู่อาศัย กบนาตัวโตเต็มที่ ยาวประมาณ 4 นิ้ว น้ำหนัก ประมาณ 6 ตัว ต่อกิโลกรัม “กบจาน” เป็นกบขนาดใหญ่ ผิวสีน้ำตาลปนเหลือง ตัวโตเต็มที่ ยาวประมาณ 5 นิ้ว น้ำหนัก ประมาณ 4 ตัว ต่อกิโลกรัม และ “กบบูลฟร็อก” ที่มีขนาดใหญ่ ผิวหนังส่วนหลังขรุขระ ลำตัวมีจุดสีน้ำตาล ขาหลังมีลวดลายขวาง ใต้คางมีสีเหลือง ตัวโตเต็มที่ ยาวประมาณ 8 นิ้ว
ผู้เข้าชมจะได้เรียนรู้การเพาะเลี้ยงกบเลียนแบบธรรมชาติ ที่นี่จะคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่มีโรค อายุประมาณ 1-2 ปี เพศเมียจะมีท้องขยายใหญ่ มีปุ่มสากข้างลำตัวทั้ง 2 ข้าง เพศผู้จะร้องเสียงดัง ถุงเสียงใต้คางจะพองโปน เมื่อใช้นิ้วสอดที่ใต้ท้องจะใช้เท้ารัดนิ้วไว้แน่น การผสมพันธุ์ จะเตรียมบ่อเพาะพันธุ์ เติมน้ำประมาณ 5-7 เซนติเมตรเตรียมฝนเทียมโดยใช้ท่อ พีวีซี ขนาดครึ่งนิ้ว มาเจาะรูตามท่อ และต่อน้ำเข้าให้น้ำไหลออกมาคล้ายฝนตก ปล่อยพ่อแม่พันธุ์กบที่คัดเลือกลงในบ่อที่เตรียมไว้ อัตราส่วน 1 : 1 ต่อ พื้นที่ 1 ตารางเมตร เปิดฝนเทียม กบจะจับคู่ผสมพันธุ์กันในช่วงเวลา 17.00-22.00 น. และปล่อยไข่ในช่วงเช้ามืด
การอนุบาล จะแยกพ่อแม่พันธุ์ออกจากบ่อเพาะพันธุ์ ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 24 ชั่วโมง การอนุบาลใช้บ่อซีเมนต์หรือบ่อดินก็ได้ ในช่วงแรกให้ไรแดงเป็นอาหาร หลังจากนั้นจึงปรับเป็นอาหารเม็ด จนเป็นลูกกบ อายุประมาณ 1 เดือน สามารถนำไปเลี้ยงต่อได้ เจ้าหน้าที่ประมงบอกว่า การเลี้ยงกบในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ทั้งการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน เลี้ยงในกระชังและเลี้ยงในคอก ระยะเวลาการเลี้ยงกบ ประมาณ 4 เดือน จะได้กบ ขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม สามารถนำไปจำหน่ายได้
หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
เจตนารมณ์ในการก่อตั้งหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมา เนื่องจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินในภายภาคหน้า เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผืนดินยังคงมีจำนวนเท่าเดิม อาจเกิดปัญหาการขาดแคลนที่ทำกินในอนาคต พระองค์จึงทรงให้หาต้นแบบในการทำมาหากินที่จะช่วยให้ราษฎรสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ โดยให้พ่อบ้านเข้าเป็นแรงงานของโครงการศิลปาชีพ ส่วนแม่บ้านให้ทำงานบ้านและทำเกษตรปลอดสารพิษ เมื่อพ่อบ้านว่างจากการทำงานประจำแล้ว ก็จะมาช่วยทำงานเกษตร ซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของเกษตรกรไทย
คุณประมวล เกษมสันต์ หนึ่งในเกษตรกรตัวอย่างในโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงเล่าว่า เขาเคยทำงานเป็นทหารเกณฑ์ ต่อมาได้รับการคัดเลือกให้เข้าเป็นเกษตรกรของโครงการ ได้รับที่ดินจัดสรร จำนวน 2 ไร่ และบ้านพัก 1 หลัง ทางโครงการได้อบรมความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืช การทำปุ๋ย ให้การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันเขามีรายได้จากการทำงานในโครงการ เดือนละ 14,000 บาท และมีรายได้เสริมจากการขายผลผลิตทางการเกษตรอีก เดือนละ 5,000 บาท
“ครอบครัวผมมีความสุขมากขึ้น นับแต่ได้เข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระองค์ รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้ ตั้งใจจะทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุด นี่คือ ความตั้งใจที่จะทำถวายให้พระองค์ท่าน” คุณประมวล เกษมสันต์ กล่าวในที่สุด