ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05086010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606 |
เยาวชนเกษตร
สุจิต เมืองสุข
โรงเรียน ตชด. บ้านถ้ำหิน สวนผึ้ง มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์กลางเด็ก-ชุมชน
สวนผึ้ง เป็นอำเภอที่อยู่ในเขตจังหวัดราชบุรี ซึ่งดูเหมือนไม่ไกลนักหากนับระยะทางจากเมืองหลวงไป แต่เมื่อพิเคราะห์จากพื้นที่ของอำเภอสวนผึ้ง พบว่า เป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา หรือพม่า มีเพียงภูเขากั้นเขตแดนอยู่เท่านั้น จึงทำให้อำเภอสวนผึ้ง ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีประชากรแฝงอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณที่สร้างเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ผู้หนีภัยการสู้รบ หรือศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย มีประชากรที่รอการส่งกลับอยู่หลายพันชีวิต
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ยังคงรูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้ตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน เพราะในอดีตพื้นที่แห่งนี้ทุรกันดารเกินกว่าระบบการศึกษาจากส่วนกลางจะเข้าถึง โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหินแห่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อปี 2527 นับระยะเวลาราว 21 ปี รองรับเยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษาทั้งคนไทยและชนเผ่าที่ไร้สัญชาติ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในค่ายอพยพผู้ลี้ภัยใกล้เคียง เพราะการศึกษาไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติและชนชั้น
พ.ต.ต. วันชัย กุลโสภณ ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ให้ข้อมูลว่า โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 13 ไร่ 2 งาน มีบุคลากรทั้งสิ้น 11 คน เป็นตำรวจตระเวนชายแดน 8 คน ครูอัตราจ้าง 1 คน และผู้ดูแลเด็ก 2 คน ซึ่งทั้งหมดแบ่งหน้าที่รับผิดชอบสอนเด็กในระดับปฐมวัย หรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ที่มีอยู่ จำนวน 285 คน เด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กในตำบลสวนผึ้ง บางส่วนเป็นเด็กจากชนเผ่าที่ไร้สัญชาติ เช่น กะเหรี่ยง กะหร่าง มอญ พม่า และเด็กที่ย้ายตามบิดามารดาจากถิ่นกำเนิดในภาคใต้ เหนือ กลาง และอีสาน มาประกอบอาชีพในพื้นที่ใกล้เคียง
“โรงเรียนเราทำเกษตรมาตั้งแต่แรก ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการซื้ออาหารให้เด็กนักเรียน คนละ 20 บาท ต่อคน ต่อวัน ซึ่งหากใช้เงิน 20 บาท ซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหาร คงไม่เพียงพอสำหรับให้เด็กนักเรียน 285 คน รับประทานได้ครบทุกคน”
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ให้ความสำคัญกับการเกษตร เพราะเป็นรากฐานสำคัญในการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรักในธรรมชาติ รู้จักอาชีพของบรรพบุรุษตนเอง ทั้งยังสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อลดรายจ่าย หรือสร้างรายได้ หากรู้จักนำไปประยุกต์ใช้ ดังนั้น จึงจัดแบ่งพื้นที่ ประมาณ 5 ไร่ สำหรับทำการเกษตร แบ่งเป็น แปลงปลูกพืชผัก โรงเรือนเลี้ยงไก่ บ่อปลากินพืช คอกหมู และยังปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นที่รับประทานผลได้ไปทั่วบริเวณโรงเรียน เช่น กล้วย มะละกอ มะม่วง ขี้เหล็ก ลำไย เป็นต้น ซึ่งต้นไม้เหล่านี้จะให้ประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะมีผลให้รับประทาน แต่ยังประโยชน์ในส่วนอื่นของต้นไม้ชนิดนั้นๆ ด้วย เช่น กล้วย นอกจากรับประทานผล หัวปลี ยังนำมาประกอบอาหาร ใบตองนำมาเป็นวัสดุห่อหุ้มอาหาร ลำต้น สามารถนำมาใช้ในงานประดิษฐ์ของนักเรียนได้
ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน บอกว่า การสอนการเกษตรให้กับนักเรียน ไม่เฉพาะแค่สอนให้ปลูกต้นไม้ สอนให้เลี้ยงสัตว์ แต่จะสอนให้เด็กเข้าใจและรักในธรรมชาติ โดยผูกโยงไปถึงเรื่องคุณและโทษของสิ่งแวดล้อม เช่น ยกตัวอย่าง ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใกล้ตัว ได้แก่ ดินโคลนถล่ม หรือเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในบ้านเรา สิ่งนี้จะทำให้เด็กเข้าใจในธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รักต้นไม้และการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของการดำรงชีวิต
สำหรับพื้นที่ทำการเกษตรของโรงเรียน 5 ไร่ แบ่งออกเป็นการเลี้ยงปลากินพืช ในพื้นที่บ่อ ขนาด 3 ไร่ เลี้ยงปลา 3 ชนิด ได้แก่ ปลานิล ปลายี่สก และปลาตะเพียน โดยช่วงที่ปลายังเล็ก จะลงทุนซื้ออาหารเม็ดสำเร็จรูปให้กิน หลังจากนั้นเมื่อปลามีอายุ 3-4 เดือน จะให้อาหารเป็นเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเด็ก เป็นการประหยัดต้นทุน ในแต่ละเดือนจะจับปลา 2 ครั้ง นำมาประกอบอาหาร ครั้งละ 28 กิโลกรัม ต่อมื้อ แต่ทั้งนี้ยังคงทำรายการซื้อขายราคาถูก นำเงินหมุนเวียนเข้าสหกรณ์ของโรงเรียน เพื่อเป็นกองทุนสำหรับการเลี้ยงปลาต่อไป นอกจากนี้ ในการเลี้ยงหมู ซึ่งปกติจะเลี้ยงไว้ประมาณ 10 ตัว ก็นำเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเด็กนักเรียนมาเป็นอาหารให้หมูเช่นกัน โดยหมูเมื่อโตขึ้นสามารถขายได้ จะขายทั้งตัว เพื่อนำเงินเข้ากองทุนการเลี้ยงหมูที่ผ่านรูปแบบการสะสมของสหกรณ์โรงเรียนต่อไป
พ.ต.ต. วันชัย บอกด้วยว่า มูลหมูมีคุณค่าทางสารอาหารมาก จึงนำมาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ สำหรับใช้แทนปุ๋ยบำรุงต้นไม้ การเลี้ยงเป็ดก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ได้ไข่เป็ดและขายเป็ดนำเงินเข้ากองทุน รวมถึงการเลี้ยงไก่ไข่ จำนวน 200 ตัว เก็บไข่นำมาบริโภคได้ทุกวัน วันละ 180 ฟอง ส่วนไก่เมื่อโตเต็มที่ก็สามารถขายเนื้อได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังเลี้ยงไก่พื้นเมือง ไก่กินเนื้อ อีกจำนวนหนึ่ง สำหรับนำเนื้อไก่มาประกอบอาหาร เป็นการลดต้นทุนวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการประกอบอาหารกลางวันของนักเรียน
“ไก่เนื้อที่โรงเรียนเลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ จะให้ชาวบ้านที่ต้องการเพาะพันธุ์นำไปเลี้ยง เมื่อได้ลูกไก่ก็ให้นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาคืนให้กับโรงเรียน เป็นการต่อยอดให้กับชาวบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนอะไร ทั้งหมดนี้โรงเรียนต้องการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาการเกษตรในรูปแบบของเศรษฐกิจพอเพียง และการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอ ภายใต้พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ความมุ่งหวังของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน นอกจากการเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดและเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงให้กับประชาชนในพื้นที่แล้ว การสอนเด็กนักเรียนให้เข้าใจ ก็เพื่อให้เด็กนำกลับไปถ่ายทอดให้กับครอบครัว นำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย
นายปราโมทย์ กำเนิดเนตร หรือ น้องซี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกกับเราว่า เขาเรียนรู้การทำการเกษตรที่โรงเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพราะใจรัก และต้องการนำความรู้ที่ได้จากโรงเรียนกลับไปใช้ประโยชน์ที่บ้าน ปัจจุบัน ที่บ้านเลี้ยงหมู ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการทำการเกษตรที่ง่าย เพราะให้อาหารในตอนเช้าและเย็น ส่วนน้ำก็ให้เฉพาะกลางวันเท่านั้น อาหารก็นำมาจากเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเรา ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม เมื่อหมูตัวใหญ่พอก็จับขาย ทำให้มีรายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว ส่วนกิจกรรมในโรงเรียน ชอบการปลูกผักสวนครัว เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย และเก็บผลผลิตนำไปรับประทานหรือจำหน่ายได้เร็ว
ด้าน เด็กหญิงปัณฑิตา แก้วสะอาด หรือ น้องนุ่น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า อนาคตเธออยากเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อนำความรู้ที่ได้มาสอนให้กับน้องๆ และเด็กรุ่นหลัง ส่วนกิจกรรมเกษตรในโรงเรียน ชอบการเลี้ยงไก่ไข่ เพราะสอนให้รู้จักการคำนวณ เช่น การกินอาหารของไก่ การออกไข่ของไก่ในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อคำนวณได้ถูกต้องแม่นยำ ก็จะไม่ทำให้เกิดรายจ่ายที่มากเกินไป เช่น การให้อาหารให้พอดีกับความต้องการของไก่ เป็นต้น ซึ่งความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนก็นำไปปรับใช้กับที่บ้าน เพราะที่บ้านเลี้ยงหมู ก็ช่วยพ่อแม่เลี้ยงหมูได้เช่นกัน
สำหรับ เด็กชายแกโด๊ะ พุดดี หรือ น้องแก ชาวกะหร่าง ไม่มีสัญชาติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า รักการเกษตร อยากทำการเกษตร แต่เพราะมีข้อจำกัดเรื่องที่อยู่อาศัยที่พักพิงในศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แม้จะมีพื้นที่บ้างก็ตาม แต่ความเป็นอยู่ในชุมชนที่แออัดทำให้ไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ ยังอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนถึง 11 กิโลเมตร ทำให้หมดเวลาไปกับการเดินทางด้วยส่วนหนึ่ง จึงทุ่มเทให้กับการเกษตรที่โรงเรียนมากกว่า
“ผมชอบเกษตร แต่ไม่มีที่ทำการเกษตร พ่อและแม่รับจ้างทั่วไป เพราะอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย ผมชอบการเลี้ยงปลามากที่สุด เพราะเป็นการดูแลที่ง่าย ไม่นานก็จับปลาไปขายได้ รายได้ก็นำเข้าสหกรณ์ของโรงเรียน เมื่อครบปีการศึกษาก็จะได้รับเงินปันผล เป็นรายได้ส่วนหนึ่งนำไปเก็บไว้สำหรับการศึกษาในอนาคต”