ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05082010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606 |
เทคโนฯ ปศุสัตว์
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
“ใกล้บ้าน” ตลาดเริ่มต้นของหมูหลุมและไก่ไข่ในป่าไผ่ ที่ราชบุรี
“คำถามหนึ่งที่ผมพบทุกครั้งคือ เลี้ยงแล้วขายที่ไหน”
คุณสุพจน์ สิงห์โตศรี เกษตรกรผู้น้อมนำแนวพระราชดำริแบบเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิตจนประสบความสำเร็จ และได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เข้ารับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2558 กล่าวถึงคำถามยอดนิยมที่เกษตรกรผู้มาศึกษาดูงานจากทั่วประเทศเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูหลุม รวมถึงการเลี้ยงไก่ไข่ในสวนและกิจกรรมอื่นบนวิถีการดำรงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงที่ฟาร์ม ซึ่งตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 95/1 หมู่ที่ 9 ตำบลดอนแร่ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โทร. (081) 857-3593
ก่อนจะได้รับคำตอบ คุณสุพจน์ สิงห์โตศรี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับด้านการตลาดของหมูหลุมที่เลี้ยงว่า ในแต่ละปีจะผลิตลูกหมูปีละ 400 ตัว โดยจะนำมาแบ่งขายเป็นลูกหมูหย่านมและอนุบาล ปีละประมาณ 200 ตัว ที่เหลือจะเลี้ยงเอง ประมาณปีละ 200 ตัว นอกจากนี้ ยังขายเป็นหมูพันธุ์ให้แก่ผู้สนใจ ปีละประมาณ 50 ตัว
โดยมีสัดส่วนการจำหน่ายคือ ชุมชนในตำบล 50-60% ชุมชนเมือง 15% ชุมชนตำบลอื่น 5% กรุงเทพฯ 20-30% และส่วนที่เหลือได้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ จำหน่ายทั้งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อจากจังหวัดต่างๆ และวางจำหน่ายที่ร้านเกษตรชนบทของตนเอง โดยที่ร้านจะเน้นขายเนื้อหมูหลุมอินทรีย์ ผัก ผลไม้ และไข่เป็ด ไข่ไก่ อินทรีย์ หมูหลุมบดเกรด A ภายใต้ตราสัญลักษณ์ G-PORK
จากการทำตลาดดังกล่าว ส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายหลังหักต้นทุน เฉลี่ยเดือนละ 45,000 บาท หรือปีละ 540,000 บาท มีรายได้ในแต่ละเดือน คือขายลูกหมู 8,000 บาท ขายหมูขุน 25,000 บาท ขายมูลหมูหลุม 12,000 บาท
สิ่งหนึ่งที่คุณสุพจน์ได้อธิบายคือ รูปแบบของหมูที่เลี้ยงจะเน้นใช้ คำว่า หมูปลอดภัย
“เพราะหมูของเรานั่นไม่ได้ฉีดยา ไม่ได้ทำวัคซีน แต่เรายังมีการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต้องซื้อจากท้องตลาด ซึ่งไม่รู้ว่าเป็น จีเอ็มโอ หรือเปล่า ดังนั้น เราจึงใช้คำว่า ปลอดภัยไปก่อน ซึ่งในอนาคตอีกไม่นานจะมีการก้าวไปสู่การทำเป็นหมูอินทรีย์”
“ส่วนคำตอบเรื่องตลาดที่ผมอธิบายให้ทุกคนได้รับรู้คือ ที่มาของทั้งหมดนี้ เราผลิตเพื่อกินกันก่อนในชุมชน เอาใกล้บ้านก่อน เมื่อแรกๆ อย่างเรื่องหมู ผมจะขายตามราคาประกาศให้กับพ่อค้าคนกลาง แต่พบว่าไม่ได้กำไรมาก จึงคิดถึงเรื่องการชำแหละและจำหน่ายเอง โดยส่งหมูที่ได้ขนาดเข้าโรงชำแหละ แล้วเอากลับมาในชุมชน มาถามทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านว่า ใครต้องการปริมาณเท่าไร เนื้ออะไร อาทิตย์แรกๆ เรามีปริมาณหมูที่ขายเพียง 1-2 ตัวเอง พอหลังจากนั้นก็ขยับขึ้นมา อาทิตย์หนึ่งเป็น 4-5 ตัว ดังนั้น แรกเลยขอให้มองตลาดในชุมชนก่อน”
“เมื่อคนในชุมชนบริโภคแล้ว หมูของเราติดตลาด เราจะมีตลาดที่สอง คือเอาไปขายในตัวเมือง ซึ่งเราทำอยู่ 2 วิธี โดย หนึ่ง เราไปเปิดร้านจำหน่ายเอง โดยใช้ชื่อว่า ร้านเกษตรชนบท สอง การจำหน่ายแบบ “เดลิเวอรี่” หรือการขายตรง ลูกค้าตรงจุดนี้จะมีทั้งจากผู้มาเยี่ยมชมฟาร์ม คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นที่ร้านเกษตรชนบท กินแล้วชอบก็จะสั่งซื้อ ส่วนตลาดที่สาม ที่กำลังดำเนินการคือ ได้เปิดขายทางเว็บไซต์เกษตรชนบท และทางเฟซบุ๊ก รวมถึงทางกลุ่มไลน์”
“อย่างในไลน์ของผมจะมีการตั้งกลุ่ม เป็นผู้บริโภคหมูหลุม ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามโซนที่พักอาศัย ซึ่งเขารวมกันซื้อ รวมกันสั่งเข้ามา ผมจะจัดส่งให้ โดยแพ็กหนึ่งจะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 กิโลกรัม พร้อมติดโลโก้ฟาร์ม G-PORK จัดส่งไปทางรถตู้ โดยคิดกล่องบรรจุและค่าขนส่ง กล่องละ 160 บาท กล่องหนึ่งจะบรรจุได้ไม่เกิน 24 กิโลกรัม”
“อีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายคือ กลุ่มพ่อค้าคนกลางที่มารับไปจัดส่งให้พ่อค้า ปัจจุบัน มีอยู่ 4 เจ้า เขาจะเข้ามารับทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี เสาร์ และอาทิตย์ นอกจากผลิตภัณฑ์หมูแล้ว ยังรับไข่ไก่ที่เลี้ยงด้วย โดยมีความต้องการอาทิตย์ละ 3,000 ฟอง”
“อย่างเรื่องไข่ไก่นั้น มีความน่าสนใจ เพราะทางพ่อค้าบอกว่า ถ้ามีปริมาณส่งได้อาทิตย์ละ 5,000 ฟอง เขาก็รับหมด แต่ตอนนี้เราผลิตได้เพียง อาทิตย์ 1,000 กว่าฟองเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งเสริมการเลี้ยง โดยให้ผู้สนใจในชุมชนเลี้ยงในสวนไผ่ของตนเอง โดยราคาส่งให้พ่อค้าที่หน้าฟาร์ม แผงละ 150 บาท และพ่อค้าจะไปขายต่อในราคา ฟองละ 8 บาท”
“ตอนนี้ต้องบอกว่า หมูหลุมที่เลี้ยงไม่เพียงพอกับความต้องการ ล่าสุดมีเชฟจากโรงแรมและร้านอาหารอีก 3-4 ราย ติดต่อเข้ามา ว่าต้องการเนื้อหมูหลุมจากเรา แต่เราไม่มีเนื้อหมูส่งให้”
คุณสุพจน์ บอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยการยึดผลิตที่เน้นคุณภาพเป็นหลัก จึงทำให้หมูที่ชำแหละออกมา 1 ตัว ขายได้หมด
“แต่ก่อนนี้การชำแหละหมู 1 ตัว เป็นเรื่องที่ทุกข์มากเลย เพราะกังวลว่า ส่วนอื่นที่เหลือ นอกจากเนื้อหมูแล้ว จะขายให้ใคร แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหา ไม่พอ ทุกอย่างทุกชิ้นส่วนมีคนเอาหมด จนชาวบ้านมาบอกว่า คนในชุมชนไม่ได้กินแล้ว”
“ผมว่าสิ่งสำคัญที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ การหากันไม่เจอ ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ แต่พอหากันเจอแล้วปรากฏว่าของไม่เพียงพอที่จะป้อนให้ได้ตามต้องการ ดังนั้น จึงต้องรีบสร้างผลผลิตเพื่อให้เพียงพอกับตลาด” คุณสุพจน์ กล่าว
ไก่ไข่ในป่าไผ่
การเลี้ยงไก่ไข่ในป่าไผ่ เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจของฟาร์มแห่งนี้ โดยจะนำแม่ไก่ไข่มาปล่อยเลี้ยงในป่าต้นไผ่รวก ตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ ในพื้นที่ 100 ตารางเมตร จะเลี้ยงไก่ไข่ ประมาณ 20 ตัว
“เลี้ยงมาเป็นปีที่ 3 แล้ว แม่ไก่ไข่ยังให้ได้ดีมาก ต่ำสุดที่เก็บได้ต่อวัน 18 ฟอง”
ในส่วนของการเลี้ยงไก่ไข่ คุณสุพจน์ บอกว่า ยังไม่เป็นรูปแบบการเลี้ยงลักษณะปศุสัตว์อินทรีย์ เพียงแต่เน้นการเลี้ยงให้ไก่ไข่ได้อยู่อย่างสบายมากกว่า หรือที่ภาษาทางวิชาการ จะเรียกว่า แฮปปี้ชิกเก้น
การเลี้ยงในลักษณะนี้ สิ่งที่ดีคือ แม่ไก่ไข่สามารถให้ไข่ได้นานขึ้นและคุณภาพของไข่จะดี เมื่อตอกไข่ออกมาดู จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนของไข่แดงนั้นจะนูนกว่าไข่ไก่ที่เลี้ยงในลักษณะกรงตับ อีกทั้งความเข้มข้นของไข่แดงและไข่ขาวมากกว่า เรียกว่ามีปริมาณสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคนเรามากกว่า
“อาหารที่ใช้เลี้ยงยังใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป แต่ปริมาณอาหารที่ให้ต่อวันจะลดลง จาก 150 กรัม ต่อตัว ต่อวัน เป็นเพียง 100 กรัม เท่านั้น นอกจากนี้ เสริมด้วยเศษพืชผักผลไม้ที่มีอยู่”
ในส่วนของการปลูกไผ่รวก คุณสุพจน์ บอกว่า ปกติชาวสวนทั่วไปจะใช้ระยะปลูก ประมาณ 4×4 เมตร แต่ที่ฟาร์มจะเน้นการปลูกให้ถี่ เหลือเพียง 2×2 เมตร และไผ่นั้นมีข้อดีคือ มีปริมาณรากและใบมาก ทำให้มีการดูดน้ำมาหล่อเลี้ยงลำต้นมาก สิ่งที่ตามมาคือ ทำให้มีการคายน้ำมาก ส่งผลให้ในพื้นที่ป่าไผ่มีความชื้น ความเย็นมาก แม่ไก่ไข่สามารถอยู่ได้อย่างสบาย
“และถ้าสังเกต จะเห็นว่าเรามีการติดไฟไว้ให้แม่ไก่ด้วย สาเหตุเพื่อป้องกันงูเหลือมที่จะเข้ามากินไก่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญ แต่เมื่อมีการเปิดไฟให้แสงสว่างแล้ว งูเหลือมจะไม่เข้ามากิน เพราะไม่ชอบแสงสว่าง” คุณสุพจน์ กล่าว
สูตรเลี้ยงหมูหลุม ของ สุพจน์ สิงห์โตศรี
จากข้อมูลของกรมปศุสัตว์ บอกว่า “หมูหลุม” เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกการเลี้ยงหมูแบบขุดหลุมลึก โดยมีวัสดุรองพื้นหลุม มีแนวคิดตามหลักการของ “เกษตรกรรมธรรมชาติ” เป็นการเกษตรที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่มีแนวคิดอยู่เบื้องหลังของการทำงาน เป็นการทำการเกษตรแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นองค์รวมของระบบนิเวศด้านการเกษตร วงจรชีวภาพห่วงโซ่อาหาร ดิน พืช สัตว์ จุลินทรีย์ พลังงานธรรมชาติหมุนเวียนจากพลังงานแสงแดดและน้ำ นำมาเป็นปัจจัยในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน พืชที่ปลูกส่วนหนึ่งนำมาเลี้ยงสัตว์ สัตว์ถ่ายมูลออกมาก็นำปุ๋ยมูลสัตว์มาเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เพื่อการปลูกพืช รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น และการพึ่งพาตนเองในด้านการผลิตและการบริโภคขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่เหมาะสมกับทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น และวัฒนธรรมที่มีในชุมชน โดยมีเป้าหมายการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การอยู่ดีกินดีของคนชนบท และสุขภาพของประชากร นำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนในที่สุด
พันธุ์หมูที่เลี้ยง
พันธุ์ดูร็อกเจอร์ซี่ อัตราการเจริญเติบโตดี เนื้อมาก แข็งแรง ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี แต่เลี้ยงลูกไม่เก่ง จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นพ่อพันธุ์
พันธุ์แลนด์เรซ หูปรก ลำตัวยาว รูปร่างมีมัดกล้ามเนื้อ ให้ลูกดก และเลี้ยงลูกเก่ง
พันธุ์ลาร์จไวท์ หูตั้ง ลำตัวยาว ขาแข็งแรง มีความสามารถในการเป็นแม่พันธุ์ที่ดี ให้ลูกดกและเลี้ยงลูกเก่ง เหมาะสำหรับใช้เป็นแม่พันธุ์
อาหารที่ใช้เลี้ยง ใช้อาหารข้น 50% และอาหารหมัก 50% เพื่อลดต้นทุนค่าอาหาร โดยเน้นการใช้พืชจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น นำต้นกล้วยมาหั่นเป็นชิ้นๆ หมักในภาชนะ
สูตรอาหารหมักคือ หยวกกล้วยหรือพืชผัก 100 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 4 กิโลกรัม เกลือ 1 กิโลกรัม หมักไว้ 4-5 วัน สูตรอาหารข้น ผสมเองโดยเลือกใช้วัตถุดิบที่บดละเอียดร่วมกับปลายข้าวบด และใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อเพิ่มพลังงาน ใช้เหล้า-ยาดอง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 10 ลิตร ให้หมูกิน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้หมูเจริญอาหารและลดความเครียด
นอกจากนี้ ยังใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่นที่มีบทบาทในการย่อยสลาย ทำให้อัตราแลกเนื้อได้ดีขึ้นและเกิดเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ พร้อมกันนี้ยังมีการตัดหญ้าสดให้หมูกินทุกวัน โดยให้กินประมาณครึ่งกิโลกรัม ต่อตัว
การดูแลสุขภาพ เน้นสร้างภูมิต้านทานโรคโดยยึดหลักธรรมชาติ ด้วยการให้กินอาหารปลอดสารเคมี พื้นคอกรองด้วยวัสดุจากธรรมชาติ ทำให้หมูสามารถขุดคุ้ยได้ออกกำลังกาย มีน้ำดื่มสะอาด ภายในคอกสะอาด ไม่มีการสะสมของเชื้อโรคและไม่แออัด รวมทั้งใช้น้ำหมักผลไม้และจุลินทรีย์ท้องถิ่นให้หมูกิน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
คอกเลี้ยง ขุดคอกลึก ประมาณ 60-70 เซนติเมตร ใส่แกลบ หรือขี้เลื่อย หรือขุยมะพร้าว หรือก้อนเชื้อเห็ด หรือหญ้าแห้ง โดยเฉลี่ย หมู 1 ตัว จะใช้วัสดุแห้ง ประมาณ 100 กิโลกรัม แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ดินแดง (หรือดินเดิม) ผงถ่าน เกลือทะเล ไอเอ็มโอ 3 และจุลินทรีย์ ราดให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 7 วัน จากนั้นปล่อยลูกหมูลงได้อัตราการปล่อย 2 ตารางเมตร ต่อตัว รดน้ำจุลินทรีย์ในคอกสัปดาห์ละครั้ง และทำความสะอาดคอก 1-2 สัปดาห์ ต่อครั้ง
เมื่อจับหมูออกจากคอกหมด จะขุดปุ๋ยออกทั้งหมด พักคอกไว้ ประมาณ 1 สัปดาห์ และเริ่มใส่วัสดุแห้งเพื่อรองรับลูกหมูรุ่นใหม่ และดำเนินการเลี้ยงตามระบบต่อไป
ทั้งหมดนี้คือ อีกหนึ่งความน่าสนใจที่เกิดขึ้น ที่จังหวัดราชบุรี…