ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160211/222261.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
ยกฟ้องหนุ่มนักวิชาการกฎหมาย ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ชุมนุมหอศิลป์กรุงเทพฯ ชี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง อัยการเตรียมตรวจดูประเด็นที่ศาลวินิจฉัย ก่อนตัดสินใจอุทธรณ์หรือไม่
11 ก.พ. 59 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 2 ศาลแขวงปทุมวัน ถ.พระรามสี่ ศาลอ่านคำพิพากษาคดี อ.363/2558 พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านกฎหมาย และนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยฝ่าฝืนประกาศ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 ลงวันที่ 22 พ.ค. 57 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 8 และ 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 , 216 , 368 วรรคแรก ประกอบมาตรา 90
ตามฟ้องอัยการโจทก์ วันที่ 28 เม.ย. 58 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า ภายหลังการยึดอำนาจปกครองจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ววันที่ 22 พ.ค. 57 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตั้ง คสช.และประกาศ คสช.เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกอีก 500 คนที่หลบหนีไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้มั่วสุมชุมนุมคัดค้านการรัฐประหารของ คสช. โดยจำเลยกับพวกชูป้ายว่า “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน” บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และด่าทอ โห่ร้อง เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และยังปลุกระดมกลุ่มผู้ชุมนุม ให้ร่วมชุมนุมมากขึ้นเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เหตุเกิดที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถ.พระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม.
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และนำสืบว่า จำเลยทำงานที่ สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย วันที่ 23 พ.ค. 57 หลังเลิกงานเวลา 16.30 น. จำเลยไปที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เนื่องจากวันที่ 22 พ.ค. 57 มีการส่งข้อความในเฟซบุ๊กว่าจะมีการรวมตัวที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จำเลยจึงเดินทางไปในเวลา 18.00 น. ขณะเดินอยู่บนสกายวอล์คทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งขณะนั้นมีการชุมนุมอยู่ จำเลยจึงนำป้ายที่เตรียมมาชูประท้วงไม่เห็นด้วย จากนั้น 30 นาทีมีเจ้าหน้าที่ทหาร 4 – 5 คน เดินมาจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ตรงมาที่จำเลยแล้วควบคุมตัวไปโดยไม่มีการแจ้งสิทธิ์และแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ขณะที่ประชาชนมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหาร และการชุมนุมนั้นต่างคนต่างมาโดยไม่ได้นัดหมายและไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบในชั้นพิจารณาแล้ว ความผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น เกิดที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในเขตปทุมวัน กทม. ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสอง บัญญัติถึงบุคคลที่จะมีอำนาจสอบสวนความผิดที่เกิดใน กทม.ว่า ให้ตำรวจที่มียศตั้งแต่ชั้นร้อยตำรวจตรีขึ้นไป หรือเทียบเท่า มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญา ซึ่งคดีนี้ได้ความจากนายตำรวจยศร้อยตำรวจโท พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พยานโจทก์ เบิกความว่า เป็นผู้สอบสวนความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ศาลเห็นว่าการที่จะมีอำนาจสอบสวนความผิดตามฟ้องได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 16 เรื่อง เขตอำนาจการสอบสวนด้วยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ซึ่งปรากฏตามคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงว่า พยานรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวน กก.1 ป. และพยานรับตัวจำเลยคดีนี้จาก ร.ต.ต.พีรพันธ์ สรรเสริญ และเจ้าหน้าที่ทหารที่คุมตัวมาโดยมีหนังสือของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ส่งมอบให้ รวมทั้งภาพถ่ายจำเลยขณะร่วมชุมนุม พยานจึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดสรุปสำนวนเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยให้อัยการ
แต่ไม่ปรากฏจากคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่า ความผิดในข้อหาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนั้น เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในท้องที่ในเขตอำนาจการสอบสวนของกองบังคับการปราบปราม โดยเมื่อพิจารณา พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เรื่อง การจัดระเบียบราชการใน สตช.พบว่า การแบ่งส่วนราชการให้ออกเป็นกฎกระทรวง กำหนดอำนาจหน้าที่ แต่ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ และคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน รวมทั้งไม่มีกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการใน สตช.มาแสดงเป็นหลักฐานเพื่อให้รับฟังได้ว่า สตช.แบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการปราบปราม และกฎกระทรวงกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ว่า ความผิดที่เกิดในท้องที่ปทุมวัน กทม.นั้นอยู่ในเขตอำนาจและหน้าที่การสอบสวน กองบังคับการปราบปราม สตช.
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา จึงฟังไม่ได้ว่า กองบังคับการปราบปราม สตช. มีอำนาจหน้าที่การสอบสวนความผิดอาญาในท้องที่เขตปทุมวันในคดีนี้ และยังฟังไม่ได้ว่า พนักงานสอบสวน กก.1 ป. มีอำนาจหน้าที่สอบสวนความผิดในคดีนี้ กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า มีการสอบสวนความผิดตามข้อกล่าวหาโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
ภายหลังศาลมีคำวินิจฉัยข้อกฎหมายให้ยกฟ้องแล้ว จ.ส.อ.อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ จำเลย กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ ผลที่ศาลยกฟ้องทำให้ตนพ้นข้อกล่าวหา แต่ก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยไว้ เช่น ประเด็นคำสั่ง คสช.หรืออำนาจประชาชนที่จะออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน ซึ่งหากศาลได้วินิจฉัยก็น่าจะเป็นบรรทัดฐานให้สังคมได้ แต่วันนี้ก็ถือว่ายืนยันได้ระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่เวลานี้ส่วนตัวยังไม่คิดจะฟ้องกลับใคร แต่อยากให้เป็นบทเรียนของตำรวจ และอัยการ ให้มีประสิทธิภาพที่จะกลั่นกรองคดีให้ระมัดระวังกว่านี้ ซึ่งช่วงจะดำเนินคดีตนถูกควบคุมตัวไว้หลายวัน และตนยังถูกสอบสวนวินัยด้วย
“ผมขอให้กำลังใจพี่น้องทุกคนที่ถูกดำเนินคดีในสภาวการณ์เช่นนี้ ก็อยากให้ทุกคนต่อสู้และยืนหยัดต่อไปว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นโดยสงบและเปิดเผย เป็นสิ่งที่ทำได้” จ.ส.อ.อภิชาติ กล่าวและว่า เราแสดงออกเพราะเห็นว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและวิถีทางประชาธิปไตย
ด้านนายรัษฎา มนูรัษฎา หนึ่งในทีมทนายความคดีนี้ กล่าวด้วยว่า คดีนี้อัยการยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกภายใน 30 วัน โดยประเด็นเรื่องอำนาจการสอบสวน ทนายความเราก็ได้ถามซักค้านพยานโจทก์ไว้ในชั้นสืบพยานด้วยว่าการดำเนินคดีมีการแจ้งให้ตำรวจในท้องที่ปทุมวันดำเนินการด้วยหรือไม่ คดีนี้ก็มีความสำคัญ การที่ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ก็ไม่ควรถูกดำเนินคดี บ้านเมืองเราหากขาดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานไปจะอยู่ได้อย่างไร วันนี้ต้องขอบคุณผู้พิพากษาที่ประทานความยุติธรรม ยกฟ้องคดี จำเลยไม่ต้องมีความผิด
ขณะที่คณะทำงานอัยการรับผิดชอบ กล่าวว่า จากนี้ต้องดำเนินการคัดรายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มมาตรวจดูประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัย เพื่อพิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่อย่างไร ซึ่งการอุทธรณ์จะมีเวลา 30 วันนับจากที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ทันก็ต้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ ขณะที่คำพิพากษาวันนี้ศาลได้วินิจฉัยเรื่องข้อกฎหมาย โดยที่ยังไม่ได้วินิจฉัยพฤติการณ์จำเลยว่ากระทำผิดหรือไม่
อย่างไรก็ดี การที่ศาลมีคำวินิจฉัยเรื่องอำนาจสอบสวนออกมาในคดีนี้ ไม่น่าจะกระทบต่อผลคดีอื่น เพราะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแต่ละคดี ซึ่งรายละเอียดแตกต่างกัน ขณะที่ปกติในการปฏิบัติหน้าที่ของกองบังคับการกองปราบปราม เข้าใจว่าดำเนินการได้ ดังนั้น หากพิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายแล้วถ้าอัยการไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น ก็จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป
———————-
(หมายเหตุ : ภาพแฟ้มข่าว)
