1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150920/213675.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2558
1 ปีกับการเรียนรู้ 'ภูมิสังคมภาคตะวันตก'

หลากมิติเวทีทัศน์ : 1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’ : โดย…ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก

                     พื้นที่ภาคตะวันตกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาภูมิภาคตะวันตกจะมีแกนนำเครือข่ายต่างๆ ที่ขับเคลื่อนงานเรื่องของการจัดการทรัพยากร การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการดูแลสังคมอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่า มี “ต้นทุนเดิม” ของคนในพื้นที่ที่มีเครือข่ายคนทำงานในกลุ่มประชาคมต่างๆ
                     แต่ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กระบวนการสร้างความต่อเนื่องเรื่องเครือข่ายคนทำงานด้านนี้ขาดช่วงไป เพราะส่วนใหญ่จะไปยุ่งอยู่กับการทำโครงการ เมื่อมีโครงการ Active Citizen ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาสนับสนุน ทำให้เกิดการประกอบสร้าง “คนทำงานรุ่นใหม่” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “เด็กและเยาวชนในพื้นที่ภูมิภาคภาคตะวันตก” โดยมีศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นสมุทรสงครามรับหน้าที่ “หนุนเสริม” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในภูมิภาคนี้
                     “ผมคิดว่าขณะนี้มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องนำกระบวนการสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนเข้ามาใช้ในการพัฒนากลุ่มคนทำงานให้เข้าใจเรื่องราวท้องถิ่น เข้าใจเรื่องของการเสริมสร้างความเข้มแข็ง รวมทั้งสร้างคนรุ่นใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการ “เซตระบบพื้นที่” ให้มี “กลไก” เรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นรอยเชื่อมต่อที่สำคัญ เพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่ขาดการเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น ขาดความเข้าใจเรื่องระบบนิเวศในท้องถิ่น เมื่อเขาไม่มีความเข้าใจเรื่องระบบนิเวศ ไม่เข้าใจเรื่องการเรียนรู้ท้องถิ่น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดการปัญหาทรัพยากรในระยะยาวได้”
                     พอดีกับมีโครงการ Active Citizen เข้ามา เป็น “กระบวนการสร้างพลเมือง” ผ่านการเรียนรู้ท้องถิ่น เรียนรู้ระบบนิเวศในท้องถิ่น เมื่อเด็กรุ่นใหม่เข้าใจ เขาก็จะมีความรักหวงแหนพื้นที่ เข้าใจว่าเขาต้องจัดการตัวเองอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เรียกได้ว่าโครงการนี้เข้ามาในช่วงจังหวะพอดีที่เราคิดว่าต้อง “เสริมรอยต่อ” เรื่องเหล่านี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
                     เราอยากให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าเขาจะอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร แล้วเขาจะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ หรือรู้จักดึงฐานทรัพยากร ภูมิปัญญา วัฒนธรรมเดิมกลับมารับใช้ในการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นเด็กต้องรู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้ความรับผิดชอบที่ตัวเองควรจะมีต่อสังคม ไม่ใช่สังคมเป็นอย่างไรไม่รู้ ตัวเองเอาตัวรอดอย่างเดียว เพราะถ้าสังคมสิ่งแวดล้อมไปไม่รอด เขาก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน การที่เราโยงเรื่องนี้มาต่อกันจะทำให้ตัวเด็กเกิดการเรียนรู้และเข้าใจที่จะอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงพอที่จะหยุดยั้งอะไรบางอย่างได้
                     ผมมองว่าความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่ “เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้ อยากลงมือทำ เขาเห็นเรื่องราวเล็กๆ แล้วเขาก็หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อหาทางออก หาทางเรียนรู้กับมัน เข้าใจมัน” เราไม่ได้ไปใส่ความคิดว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ว่าเขาจะถูก “หล่อหลอม” จากการลงมือปฏิบัติ แล้วถอดบทเรียนอย่างต่อเนื่อง แล้วเขาก็สามารถจะเข้าใจและเรียนรู้ท้องถิ่น
                     “จุดเด่นของโครงการ Active Citizen คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้มีโอกาสในการเรียนรู้ แล้วลงมือปฏิบัติจากสิ่งที่เขาคิด อยากทำ อยากเรียนรู้ แล้วเขาก็สามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เขาเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริงของเขา แล้วนำไปสู่การที่จะเข้าใจว่าบ้านเมืองนี้ ท้องถิ่นนี้เป็นอย่างไร แล้วเขาจะต้องปรับตัวอย่างไร ถึงจะจัดการให้ตัวเขาอยู่รอดบนความเปลี่ยนแปลง”
                     ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดในเรื่องพัฒนาการของน้องๆ เยาวชน ที่พบว่า เมื่อเริ่มทำโครงการ พวกเขาอาจจะไม่ได้ซึมซับเรื่องราวของท้องถิ่นมากนัก แต่พอเขาผ่านกระบวนการทำงาน ได้ลงมือปฏิบัติงานในโครงการทำให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลง รักและเรียนรู้บ้านเกิดตัวเองมากขึ้น ลุกขึ้นมาเอาธุระต่อเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในจังหวัด ในพื้นที่โรงเรียน หรือในชุมชนของเขา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกตื่นตัวที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าไปร่วมปฏิบัติการ หรือเข้าไปร่วมให้ความเห็นไปทำกิจกรรม ทำให้สิ่งที่เขาเรียนรู้มากับชุมชนเกิดผลต่อเนื่อง เด็กคงไม่จบแค่ว่าทำโครงการเสร็จ แต่เด็กเขาจะรู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังทำให้ต่อเนื่องต่อไป เพราะเขารู้สึกผูกพันกับเรื่องที่เขาทำมากขึ้น
                     ตัวอย่างเช่น  “น้องจิมมี่” ธีรเมธ เสือภูมี ที่เป็นลูกชาวนาเกลือ พ่อแม่มีธุรกิจนาเกลือ แต่ว่าตัวจิมมี่เองก่อนเข้าโครงการ เขาไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับอาชีพนาเกลือ กลับรู้สึกติดลบกับอาชีพนาเกลือว่า เป็นอาชีพที่หนัก และอาชีพนี้น่าจะไปไม่รอด ไม่สามารถต่อสู้กับทุน ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ เขารู้สึกว่าอาชีพนาเกลือนี้ต้องล่มสลายไปในอีกไม่ช้า แต่น้องก็เสนอเรื่องของรักนาเกลือขึ้นมา แต่ตอนที่เขาเสนอโครงการ เป็นเหมือนจะทำให้คนอื่นรัก ทั้งที่ลึกๆ แล้วตัวเองไม่ได้มีทัศนคติที่รักจริงๆ ประมาณว่าทำเป็นอีเวนท์
                     แต่เมื่อเขาผ่านโครงการ Active Citizen ที่เราพาให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆ เรียนรู้ของจริง เข้าไปสัมผัสเรื่องนาเกลือจริงๆ เขาเคยอยู่กับนาเกลือแต่เขาไม่ได้ลงลึกกับนาเกลือ แต่พอเขาทำโครงการนี้ เขาต้องไปลงลึก ต้องไปพบประสบการณ์จริง ทำให้เขารู้สึกว่า “นาเกลือมันมีคุณค่ากับชีวิตเขา” แล้วก็เขาเริ่มที่จะมีมุมคิดในเรื่องความรักและผูกพัน เขาอยากที่จะถ่ายทอด อยากที่จะจัดการเรื่องนาเกลือนี้ให้มันเพิ่มมูลค่า จะดำรงความเป็นนาเกลือในครอบครัวของเขาไว้ จากเดิมที่ไม่เคยออกไปช่วยพ่อแม่ แต่ตอนนี้เราเห็นเลยว่าน้องจิมมี่ตามพ่อแม่ลงไปช่วยงานเรื่องนาเกลือ ชอบออกไปจัดการเรื่องนาเกลือ แล้วก็มีความรู้สึกว่าเขาจะต้องทำเรื่องนี้ต่อไป ถึงแม้โครงการจะจบแล้วก็ตาม
———————-
หมายเหตุ – สนใจติดตามชมกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก : โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก หรือเฟซบุ๊ก : มูลนิธิสยามกัมมาจล
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : 1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’ : โดย…ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก)

Leave a comment