ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20150927/214080.html
การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2558
หลากมิติเวทีทัศน์ : บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ในรัฐธรรมนูญ ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม : โดย…กฤษฎา บุญชัย
ปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การขาดแคลนน้ำ อุทกภัย หมอกควัน ป่าถูกทำลาย สัตว์ป่าสูญพันธุ์ อุตสาหกรรม เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และอื่นๆ ที่ทำลายนิเวศและสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง ทั้งหมดนี้ดูเผินๆ อาจเป็นเรื่องขาดความรู้ สำนึก การใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือย ขาดเครื่องมือกฎหมาย หรืออำนาจรัฐยังไม่เข้มแข็งพอ
หากแต่วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงรากเราจะพบว่า ด้านหนึ่งมาจากอำนาจการผูกขาดที่ทำให้ฝ่ายที่มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นกลไกรัฐ หรือกลุ่มทุน สามารถครอบครอง ควบคุมนิเวศ และทรัพยากร เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ตามอำเภอใจ พร้อมกับผลักปัญหา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้สังคมต้องแบกรับ ชุมชนที่พึ่งพานิเวศและทรัพยากรถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมตัดสินใจ เพราะอ้างสิทธิต่อทรัพยากรตามที่รัฐจัดสรรให้ ปฏิเสธสิทธิที่ชุมชนและสังคมจะมีนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ดี

ขณะที่ปัญหาอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทั้งผลและเหตุจากอำนาจผูกขาดก็คือ ภาวะมือใครยาวสาวได้สาวเอา หรือการคลั่งเสรี โดยปัจเจกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังบริโภคนิยมที่ต่างแย่งชิง ฉวยใช้นิเวศและสิ่งแวดล้อมโดยไม่สนใจรับผิดชอบว่าจะกระทบต่อประชาชนส่วนรวมอย่างไร เพราะเรื่องส่วนรวมยกให้รัฐจัดการ ตนเองหาเป็นธุระไม่
ด้วยเหตุนี้ ทั้งอำนาจนิยมและเสรีนิยมด้านนิเวศและสิ่งแวดล้อม ต่างก็ทำให้สังคมขาดแนวคิดและความสามารถที่จะร่วมกันจัดการนิเวศและทรัพยากรได้ เราจึงมาถึงบทสรุปที่ว่า สังคมต้องสร้างระบบการจัดการร่วมที่ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยกำหนดสิทธิและหน้าที่การจัดการนิเวศและสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน จึงจะมีพลังร่วมกันจัดการได้อย่างเข้มแข็ง
สังคมโลกและสังคมไทย มีตัวอย่างการหาข้อตกลงเรื่องสิทธิการดูแลนิเวศ ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่ดีมั้ย ขบวนการสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่มีรากจากระดับท้องถิ่นพบร่วมกันว่า มีตัวอย่างที่ควรเรียนรู้มากมายจากชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ที่มีระบบการจัดการนิเวศร่วมกัน หรือเรียกว่า “สิทธิชุมชน”
สิทธิชุมชนไม่ได้มีเฉพาะชุมชนดั้งเดิม ในป่าเขา เพราะตัวอย่างต่างๆ บอกเราว่า สังคมไหนก็ตามทั้งชนบทและเมือง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม หรือกลุ่มสังคมสมัยใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการเรื่องสาธารณะ เช่น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ต่างก็ล้วนต้องมีระบบการจัดการร่วมกันที่เข้มแข็งทั้งในเรื่องประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความเป็นธรรม โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันว่า ความสมบูรณ์นิเวศคือความผาสุกร่วมกันของชุมชน
และความชอบธรรมของชุมชนอยู่ที่การทำให้การจัดการนิเวศร่วมกันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะด้วย จึงได้ตกลงสิทธิกันในหมู่สมาชิกให้ชัดเจนว่าใครใช้ทรัพยากรแค่ไหน อย่างไร ที่จะไม่กระทบต่อส่วนรวม หรือชุมชนจะไปหนุนเสริม กำกับสมาชิกให้ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไรจึงจะยั่งยืน เช่นเดียวกันสมาชิกก็ต้องมีส่วนร่วมที่จะกำหนดชุมชนว่าต้องมีนโยบาย ทิศทางการจัดการทรัพยากรอย่างไรที่จะเกิดความยั่งยืน ซึ่งส่งผลต่อประโยชน์แก่สมาชิกทุกคน และสมาชิกจะต้องมีบทบาท ร่วมลงทุน ลงแรงกับชุมชนอย่างไร ชุมชนจึงมีพลังดำเนินต่อไปได้ ชุมชนได้สร้างเป้าหมาย พลังร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนอันผาสุกแก่มวลหมู่สมาชิกและต่อสังคมส่วนรวมด้วย

“สิทธิชุมชน” ไม่ใช่แค่ระบบจัดการทรัพย์สินหรือประโยชน์สาธารณะ แต่ยังมีความหมายอีกด้านหนึ่งคือสิทธิมนุษยชน เพราะลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกัน การพึ่งพานิเวศและสิ่งแวดล้อมร่วมกันของผู้คนในชุมชน ทำให้ความอยู่รอด ตัวตน อัตลักษณ์ ศักดิ์ศรี หรือความเป็นมนุษย์ของผู้คนไม่ได้อยู่บนฐานปัจเจกอย่างเดียว แต่มีความเป็นชุมชนซ้อนอยู่อย่างแยกไม่ออก เราจึงเห็นชุมชนจำนวนมากที่ถูกแย่งชิง ทำลายฐานทรัพยากร ต่างออกมายืนยันถึงสิทธิชุมชนในฐานะที่เป็นสิทธิความเป็นมนุษย์ที่จะดำรงชีพในนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่มั่นคงและยั่งยืน เช่น ขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน ชุมชนจัดการน้ำ ชุมชนต่อทรัพยากรชีวภาพ ชุมชนที่ต่อสู้กับโครงการขนาดใหญ่ทั้งเหมืองแร่ พลังงาน โรงไฟฟ้า เขื่อน อุตสาหกรรม มากมาย
หากแต่ว่าหลักการสิทธิชุมชนที่ขบวนการชุมชนผลักดันมาตั้งแต่ช่วงปี 30 เป็นต้นมาจนถึงร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งถูกคว่ำไป ขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามหลักการและประสบการณ์ของชุมชน ทำให้หลักสิทธิชุมชนที่ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ ยังหนีไม่พ้นโครงสร้างผูกขาดอำนาจทรัพยากรของรัฐและทุน
รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับแรกที่ว่ากันว่ารับรองสิทธิชุมชน ก็ปฏิเสธการมีอยู่ของชุมชนโดยตรง ยอมรับแต่เพียงปัจเจกที่มารวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่น และต้องพิสูจน์ตนว่าดั้งเดิมด้วยจึงจะมีสิทธิในวัฒนธรรม
แต่หากเป็นเรื่องทรัพยากร ก็เหลือไว้เพียงแค่ยอมให้มีส่วนร่วมจัดการตามที่กฎหมายบัญญัติ หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ตามที่รัฐจะยอมให้มีส่วนร่วมได้แค่ไหน ซึ่งในทางเป็นจริงคือ หน่วยงานรัฐไม่ยอมที่จะให้ชุมชนมีส่วนร่วมในระดับการตัดสินใจต่อทรัพยากร จึงไม่บัญญัติกฎหมายรับรองสิทธิไว้ ผลก็คือ การอ้างกฎหมายลูกที่ให้ไปบัญญัติรายละเอียด สิทธิชุมชนกลายเป็นสร้างข้อยกเว้นให้รัฐที่จะไม่ต้องทำตาม
หลักการข้างต้น สิทธิชุมชนจึงถูกละเมิดเช่นเดิม ด้วยการไล่คนออกจากป่า กีดกันการมีส่วนร่วมชุมชนที่ได้ผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ และสาธารณะให้มีสิทธิร่วมตัดสินใจทำได้เพียงรับฟังความคิดเห็น จึงทำให้ปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อมที่มีรากฐานอำนาจผูกขาดและเปิดเสรียิ่งรุนแรงขึ้น เห็นได้จากสถิติความเสื่อมโทรมของนิเวศและทรัพยากรในช่วงปี 40-50 ยังคงดิ่งลงเหว
ขบวนการผลักดันสิทธิชุมชน จึงได้บทเรียนนำมาสู่การผลักดันในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่แม้ยังคงกำหนดแค่การมีส่วนร่วมต่อการจัดการทรัพยากรเช่นเดิม แต่ตัดถ้อยความที่ว่าตามที่กฎหมายบัญญัติออกไป เพื่อไม่ให้เกิดข้อยกเว้นของรัฐ โดยเป็นการยกระดับให้รัฐธรรมนูญมีฐานะบังคับใช้โดยตรงโดยไม่ต้องมีกฎหมายลูกมารองรับ

หลักการดังกล่าวดูก้าวหน้า แต่เป็นการออกแบบที่ไม่เข้าใจโครงสร้างอำนาจของรัฐที่เป็นกลไกหลักตามรัฐธรรมนูญ เมื่อโครงสร้างรวมศูนย์ของรัฐไม่ถูกกระจายอำนาจ รัฐก็ยังใช้กฎหมายลูกเพื่อไม่รับรองสิทธิชุมชน โดยอ้างแนวปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อสิทธิชุมชนหรือกติกาการจัดการร่วมในระดับล่างไม่ถูกรับรอง ทรัพยากรจึงถูกรุกรานจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน วิกฤติสิ่งแวดล้อมทั้งความเสื่อมโทรมและความขัดแย้งยังเป็นปัญหาใหญ่เช่นเดิม
ความพยายามครั้งใหม่เกิดขึ้นในร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งถูกคว่ำไป แต่เป็นการพยายามที่ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนเดิม คือยังทำให้สิทธิชุมชนต่อทรัพยากรพร่ามัวเพียงแค่การมีส่วนร่วมที่เปิดให้กลไกรัฐไปกำหนดตามกฎหมายลูกแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 อันเป็นการกลับไปให้รัฐสร้างข้อยกเว้นที่จะละเมิดสิทธิชุมชนได้ แม้จะอ้างว่ามีกลไกปฏิรูปต่างๆ จะมาบัญญัติกฎหมายลูก แต่กลไกเหล่านั้นถูกผูกขาดโดยราชการ เทคโนแครต เป็นส่วนใหญ่ เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า หากแนวทางสิทธิชุมชนตามร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำไปบังคับใช้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการรับรองสิทธิชุมชนแต่อย่างใด
จากบทเรียนรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ เราควรตระหนักแล้วว่า สิทธิชุมชนจะมีได้ต้องปรับโครงสร้างกลไกรัฐให้กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์ รัฐธรรมนูญจำเป็นต้องกำหนดหลักการและแนวทาง และกลไกเชิงสถาบันให้รัฐกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรทุกประเภทลงไปในทั้งแนวดิ่งจากรัฐส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และแนวระนาบจากหน่วยงานรัฐเดี่ยวเป็นการจัดการร่วมหลายภาคีสร้างเป็นกลไกร่วมรัฐและประชาชนในทุกระดับ โดยกำหนดสิทธิ หน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น ทรัพยากรเป็นของรัฐ แต่ชุมชนมีสิทธิจัดการให้เกิดความยั่งยืนและเป็นธรรม ภาคสังคมมีสิทธิที่จะร่วมตัดสินใจ แต่ทั้งรัฐและสังคมต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชุมชนที่จะมีชีวิตรอด และมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากนิเวศสิ่งแวดล้อม
ไม่มีข้อยกเว้นในการละเมิดสิทธิชุมชนใดๆ เหมือนที่แล้วมา โดยเฉพาะกรณีโครงการที่ส่งผลกระทบร้ายแรง เช่น แต่เดิมกำหนดไว้ว่าการดำเนินโครงการที่เกิดผลกระทบต่อชุมชนด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะได้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพและมีการรับฟังความคิดเห็น อันทำให้รัฐทำโครงการที่รุนแรงได้หากผ่านกระบวนการเหล่านั้น แต่แท้ที่จริงควรยืนยันปกป้องสิทธิชุมชนว่า โครงการใดๆ ก็ตามหากประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพแล้วพบว่ามีผลกระทบร้ายแรงจะดำเนินการไม่ได้ ทำให้ไม่เกิดการอ้างข้อยกเว้นไปละเมิดสิทธิชุมชนและสาธารณะได้อีก
รัฐธรรมนูญ จึงต้องยืนอยู่บนหลักการสิทธิชุมชนให้ชัด ไม่มีข้อยกเว้นในการละเมิดสิทธิไว้ในกฎหมายลูกหรือขั้นตอนปฏิบัติอันใด ต้องกระจายอำนาจรัฐออกไปทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ และต้องสร้างกลไกเชิงสถาบันของการจัดการมีส่วนร่วมทุกระดับที่มีอำนาจตามกฎหมายและความพร้อมในด้านทรัพยากร นั่นจึงจะทำให้ทั้งชุมชนท้องถิ่น ชุมชนเมือง ชุมชนเก่าหรือใหม่ มีความสามารถและความชอบธรรมในการจัดการนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง
———————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ในรัฐธรรมนูญ ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม : โดย…กฤษฎา บุญชัย)
