ปฏิรูปการศึกษาขอเริ่มต้นจากความเป็นไปได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151001/214371.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2558
ปฏิรูปการศึกษาขอเริ่มต้นจากความเป็นไปได้

ปฏิรูปการศึกษาไทย‘นพ.ธีระเกียรติ’รมช.ศึกษาฯขอเริ่มต้นจากความเป็นไปได้

              มีคำกล่าวว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา” ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เยาวชนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องการศึกษาไทย รายการ “ไทม์ไลน์ สุทธิชัย หยุ่น” ทางสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลเนชั่น แชนแนล เปิดบทสัมภาษณ์พิเศษ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถึงแนวทางปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยจากแผนมาตรการในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างน่าสนใจว่า การศึกษาไทย สิ่งที่ต้องเข้ามาทำหลังรับตำแหน่งคือ การรับผิดชอบในเชิงนโยบายที่ต้องให้มีความสะดวกขึ้น แต่เรื่องที่จะไม่แตะต้องคือเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างการศึกษาครั้งใหญ่ ซึ่งตรงกับนโยบายของคสช. เพราะว่าถ้าเราไปสนใจเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้าง นอกจากจะเสียเวลา ยังมีอุปสรรคมากมาย จะทำให้เราไม่ได้ทำงานที่สำคัญด้านอื่นๆ ดังนั้นจะไม่ไปรื้อโครงสร้างขนานใหญ่

จากนี้ต้องมาดูว่า อะไรที่เคยทำแล้ว แล้วไม่ได้ผลก็ต้องเลี่ยง หรือไม่ก็หาสาเหตุที่ไม่ได้ผล และหาสิ่งที่ยังไม่เคยทำ และน่าจะได้ผล เมื่อเริ่มต้นแล้วเราก็เช็กแล้วเรียนรู้ไปด้วยกัน ตามแนวคิดของ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ที่ได้ให้คำนิยามของคำว่า ความบ้า ไว้ว่า คนที่ทำอะไรซ้ำๆ แต่หวังผลใหม่ ดังนั้นจึงต้องทำงานเกือบทุกเรื่อง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกหลายสถาบันได้แนะนำให้เราหาเป้าหมายที่ชัดเจนเพียง 2-3 เรื่อง ก่อนลงมือทำงาน แล้วทุ่มเทกับมันให้เต็มที่ แต่หากต้องการเห็นผลงาน หรือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ “การเปลี่ยนวิธีประเมิน” เพราะเราต้องการให้เยาวชนไทยคิดเป็น แต่หากยังออกข้อสอบแบบเดิมๆ จะเกิดไม่การเปลี่ยนแปลงแน่ คือเน้นการสอน สอนอยู่นั่น เราต้องการให้เด็กคิดเป็น แต่ไม่เปลี่ยนวิธีการประเมินผล ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เช่น หากผมอยากจะเปลี่ยนวิธีที่ครูเขาปฏิบัติในการได้เงินเดือนขึ้น ซึ่งในอดีตได้พยายามทำกันอยู่ อดีตรัฐมนตรี พล.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ทำเอาไว้เยอะ คือวิทยฐานะของครู ถ้าไปผูกติดกับความสำเร็จของตัวเอง เช่น ไปวิจัยเรื่องนู่นเรื่องนี่ แต่ไม่ผูกติดกับเด็ก แน่นอนเราก็ส่งเสริมสิ่งนั้น คือนโยบายของผม คืออย่าไปประเมินกับสิ่งที่รู้ว่าไม่เกี่ยวกับผลโดยตรง เพราะเป้าจริงๆ คือนักเรียน นักศึกษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลง สิ่งแรกที่จะนึกถึงกัน คือ การอบรมครู การหาฝรั่งมาสร้างหลักสูตร แต่วิธีเหล่านี้ไม่เท่ากับสิ่งที่กำลังเสนอ ยกตัวอย่างเช่น ที่ระดับมหาวิทยาลัย ต่อไปนี้ผมต้องการให้เด็กที่จบประกาศให้นายจ้างหรือใครก็ตาม ให้ได้รับทราบ ส่วนทรานสคริปต์ แทนที่จะมีแต่ “จีพีเอ” อย่างเดียว ต่อไปนี้ จีพีเอ จะต้องมีตัว “อี” ที่ย่อมาจากอิงลิช (English) ที่บ่งบอกระดับคุณวุฒิทางภาษาอังกฤษ ตามมาตรฐานสากล Common European Framworkof Reference (CEFR) ว่า บัณฑิตแต่ละคนความสามารถทักษะภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน แตกต่างกัน 6 ระดับ โดยหน่วยงานมาตรฐานที่เป็นกลาง ทำหน้าที่ให้การรับรอง (Certified) ระดับความสามารถทักษะทางภาษาอังกฤษ

“สิ่งที่ผมต้องการ หน้าตาความสำเร็จของภาษาอังกฤษ ที่อยู่บนมาตรฐาน โดยมีตัวประเมินเป็นตัวกำหนด” ซึ่งการวัดมาตรฐานดังกล่าวจริงๆ แล้วมาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาจะประเมินมาตรฐานที่ดีที่สุด รองลงมา ที่พอเทียบเคียงได้ เช่น TOEFL IELTS ของไทย ก็คือ TU Get และ CU-TEP ซึ่งผมอาจให้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่มีระบบการวัดประเมินผลที่ดีมาช่วยในการประเมินมาตรฐาน

เมื่อมีข้อกำหนดในการประเมินลักษณะนี้ ก็จะมีแรงจูงใจให้เด็กที่ต้องการโชว์ศักยภาพ มาตรฐานความรู้ของเขากับนายจ้าง หรือกับสถาบันต่างๆ แต่วิธีการนี้จะเป็นเสรีชน จะไม่บังคับว่าทุกคนต้องผ่านการวัดทักษะภาษาอังกฤษดังกล่าว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถาบันการศึกษาก็จะเรียนรู้ว่า ถ้ายังขืนอยู่ในระบบเดิมๆ เขาจะไม่ได้เด็กที่มีมาตรฐาน

ทั้งหมดนี้คือการขับเคลื่อนในระยะสั้น ที่ต้องเริ่มต้นจากเป้าหมาย หรือสิ่งที่เราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นในส่วนนี้ จึงไม่ได้พูดถึงประเด็นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พื้นฐานของเด็ก ตั้งแต่วัยเยาว์ที่เป็นส่วนของนโยบายระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลามากในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

หากกล่าวถึงนโยบายระยะยาว เช่น เรื่องภาษาอังกฤษนั้น ต้องใช้เวลา ซึ่งแน่นอนเรามีมาตรฐานระยะยาว ตั้งแต่ยังเล็กๆ เราก็ต้องคิดต่อว่า 1.หลายคนเสนอเอาฝรั่ง ทั้งที่ฝรั่งคนหนึ่งในเงินล้านกว่าบาท นักเรียนเรามีสิบล้านคน เราจะเอาเงินที่ไหนมาทำให้เด็กของเราเก่งได้ทุกคน

ขณะนี้ผมได้เชิญมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มาวางแผนระยะยาว ขั้นแรกที่เขาจะมาทำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็คือ Base My Study โดยการศึกษาภาพรวมว่า เด็กนักเรียนไทยทั้งประเทศอยู่ระดับไหน ครูอยู่ในระดับไหนตามมาตรฐานซีอีเอฟอาร์ จากนั้นจึงจะเริ่มให้คำแนะนำในเชิงกลยุทธ์ว่า เราควรทำอะไรก่อน-หลัง วางแผนยังไง ขับดันกันอย่างไร ในสภาพการณ์ที่เรามีคนส่วนใหญ่มีพื้นฐานเท่านี้ จำนวนทรัพยากร ซึ่งในประเทศมาเลเซีย มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กำลังผลักดันเรื่องนี้อยู่จนใกล้เสร็จสิ้นโครงการแล้ว

“ผมคิดว่า คงใช้ระยะเวลาการศึกษาไม่นาน แต่ผมก็ไม่ได้รอ เพราะเราเริ่มแล้วครับ เราเริ่มมีแผนว่า ขณะนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะปฏิรูปอะไรก็ต้องรู้ว่าเรามีทรัพยากรเท่าไร เช่น เรามีครูที่เก่งอังกฤษ ระดับซี2 ประมาณ 200 คน จากทั่วประเทศถือว่าน้อยมาก เราจึงต้องพยายามหาทาง คือ 1.เปลี่ยนระบบการจะเป็นครูภาษาอังกฤษ โดยใช้กลุ่มคอร์ เทรนเนอร์ ที่เป็นคนไทยในภาคภาษาอังกฤษทั่วไป แต่เราก็สามารถอัพเกรดได้อย่างรวดเร็ว เช่นภาษาอังกฤษเฉพาะวิชาชีพในบางอาชีพ เช่น คนขับแท็กซี่ หรือพนักงานต้อนรับในโรงแรม ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย ปีละกว่า 30 ล้านคน โดยที่พวกเขาไม่ต้องมีความรู้ หรืออ่านเข้าใจเรื่องเชคสเปียร์ เพียงแค่พูด คำว่า Can I Help You? ได้แค่นี้คือสามารถพูดจาสื่อสารกันได้ดีก็พอ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าในระยะเวลา 18 เดือน จะมีอะไรที่ชัดเจนอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องภาพรวมของการศึกษามองว่า หน้าตาของความสำเร็จด้านการประเมินผลการศึกษาภาพรวมคือ วางแนวทางไว้ในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ทั้งการประเมินผลทางวิชาการ เช่น ข้อสอบอัตนัยที่หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่า ไม่เป็นธรรม จากที่ต้องตรวจคำตอบเด็กหลายแสนคน ในขณะที่ยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทำให้การตรวจคำตอบอัตนัยจำนวนหลายแสนคน มีความถูกต้อง แม่นยำได้ เพื่อเป้าหมายให้เยาวชนไทยรู้จักคิดเป็น เช่นเดียวกับวิชาภาษาไทย ที่เด็กไทยเราต้องอ่านออก เขียนได้ จับใจความเป็น

ทั้งนี้เราจะเริ่มต้นที่ระดับเด็กเล็กก่อน เพราะการเริ่มต้นที่เด็กโต ด้วยการใช้ข้อสอบอัตนัยที่หลายคนแนะนำ เพราะผลสอบของเด็กโตส่วนหนึ่งมีผลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงความเป็นความตายของเด็ก มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา เพราะอยู่ๆ ไปเปลี่ยนลักษณะข้อสอบ ไปเริ่มใช้ข้อสอบอัตนัยที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน ฉะนั้นควรเริ่มที่ ป.6 วิชาภาษาไทย ด้วยข้อสอบอัตนัย 20% จากจำนวนข้อสอบทั้งหมด แล้วค่อยๆ ขยายและเราก็ค่อยเรียนรู้ไปด้วยกัน

“อีกอันหนึ่งคือ การประเมินผล เราเริ่มทำอย่างนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณปี 2555 พระองค์มีพระราชกระแสข้อหนึ่งสำคัญมาก คือเด็กไม่ควรจะแข่งขันกัน ควรจะแข่งขันกับตนเอง ครูควรจะรักเด็ก เด็กควรจะรักครู ผมก็เลยแปลงในเชิงนโยบาย ซึ่งในปีการศึกษาหน้า จะเริ่มต้นด้วยแนวทางให้นักเรียนได้ประเมินผลการศึกษาตัวเอง เป็นระยะๆ ระหว่างเทอม เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลการสอบจริง แม้วิธีการนี้จะมีการประเมินต่ำหรือสูงกว่าความเป็นจริง แต่นั่นจะทำให้เด็กได้รู้จักมองตัวเอง และมีแรงกระตุ้นจากภายในจากการเปรียบเทียบผลสอบจริงกับผลประเมิน อีกทั้งแนวทางดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับการผลักดันด้านจริยธรรม คุณธรรมได้เช่นกัน”

วิธีนี้ได้คุยกับผู้ใหญ่ในกระทรวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะทำให้เป็นรูปธรรม เพียงแต่ยังไม่ตกผลึกว่า จะเริ่มต้นที่ระดับการศึกษาใด ซึ่งจำเป็นต้องหารือกับนักวิชาการกันอีกครั้ง แต่สิ่งสำคัญคือการประเมินผล หรือ “ตัวชี้วัด” เรายังมีความเข้าใจผิดอีกหลายแง่มุม ประการแรก ทุกอย่างที่วัดได้จะเรียกว่า KPI หมด แต่คำว่า ตัวชี้วัด ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Key Performance Indicators” ชื่อก็บอกแล้วว่า คีย์ แสดงว่ามีไม่กี่ตัว และการไขประตูเข้าบ้าน คงมีกุญแจไม่ถึง 500 ดอกแน่นอน ประการต่อมา เราเรียก KPI กับ Target เหมือนกัน สมมุติเราจะไปเชียงใหม่ ในเมื่อเชียงใหม่คือ เป้าหมาย ฉะนั้น KPI จึงเป็น GPS ไว้บอกว่า คุณมาถูกทางแล้ว เลือกสักอย่างสองอย่าง เพื่อเลือกเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย แต่คนไทย ส่วนใหญ่ตั้งเป้าไปที่ KPI”

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า การปฏิรูปการศึกษาต้องทำให้ถูกทาง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรามานั่งถกเถียงกันเรื่องการปฏิวัติถูกหรือไม่ถูก แต่อย่างน้อยเราได้อย่างหนึ่งคือโอกาสทางการศึกษา ขอให้ทุกคนอย่าใจร้อน แต่ก็ต้องให้มันเห็นผล และยืนยันว่า ไม่เกิน 3 เดือน ทุกคนจะเห็นว่ากระทรวงศึกษาฯ จะทำอะไร เราจะต้องเห็นโครงสร้างที่ถูกๆ ที่เรากำหนดขึ้นมา เราต้องเห็นว่ากระดาษที่ประเมินผลต้องน้อยลง แต่จะต้องมีคุณภาพ ต้องสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีความเท่าเทียมทั้งด้านบนและด้านล่าง คือเรื่องโอกาสทางการศึกษาที่เด็กต่างจังหวัดจะต้องเท่าเทียมกับเด็กในกรุง ที่สำคัญคือเรื่องการเข้าถึงทางครูดี หนังสือดีๆ และเทคโนโลยีในเรื่องดาวเทียม ซึ่งต้องครอบคลุมทั้งหมด

Leave a comment