แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151018/215295.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2558
แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ 'ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี'

หลากมิติเวทีทัศน์ : แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น

                      ตามที่รัฐบาลมีนโยบายทวงคืนผืนป่า เป้าหมายเพื่อให้มีป่าร้อยละ 40 โดยได้ออกคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 และในเวลาต่อมาได้นำมาตราที่ 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาบังคับใช้ โดยให้ทหารเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้และพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
                      ในทางปฏิบัติแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ยึดถือคำสั่งที่ 64/2557 เป็นหลัก ในขณะที่คำสั่งที่ 66/2557 โดยเฉพาะข้อ 2.1 ที่ระบุว่า “การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะต้องดำเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” กลับไม่ถูกนำมาถือปฏิบัติอย่างจริงจัง ประกอบกับแนวปฏิบัติต่างๆ ก็ยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนที่เป็นคนจนผู้ยากไร้ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
                      สำหรับในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ มีผู้เดือดร้อนจำนวน 141,107 ครอบครัว จาก 359 ตำบล 14 จังหวัด เนื้อที่ประมาณ 1.3 ล้านไร่ ซึ่งได้ตั้งชุมชนและทำกินก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์และป่าอื่นๆ อันเป็นที่ดินซึ่งได้รับมรดกมาจากพ่อแม่และทำกินมาอย่างต่อเนื่อง ผู้เดือดร้อนดังกล่าวจึงได้รวมตัวกันในนาม “เครือข่ายขบวนชุมชนแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยภาคใต้” (ข้อเท็จจริงได้รวมตัวมาก่อนหน้านี้เพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางของชุมชน)
                      ที่ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีปัญหาเพราะไม่ได้พิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจน ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนในพื้นที่เรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตสาธารณประโยชน์ (พรุอ้ายเล) ในหมู่ 1-4 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติช่องกระโสม ป่าควนแก้ว ป่าคลองตาม ในหมู่ 5-6 รวมเก้าพันกว่าไร่ ผู้อาศัยประมาณหนึ่งพันครอบครัว
                      เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว ชาวบ้านโดยสภาองค์กรชุมชนตำบลควนหนองหงษ์ จึงได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยต.ควนหนองหงษ์ โดยอาศัยตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 โดยแบ่งเป็นคณะกรรมการระดับพื้นที่ 2 พื้นที่ตามสภาพปัญหา มีการสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อน สำรวจแปลงที่ดินโดยใช้ GIS/ GPS เพื่อนำไปสู่การกันเขตที่อยู่อาศัยกับเขตป่าให้ชัดเจน ก่อนที่จะนำไปสู่การจัดทำผังที่ดินทั้งตำบล
                      เชวง มีชนะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.ควนหนองหงษ์ เล่าว่า นอกจากทำระบบข้อมูลที่ดินแล้วยังได้มีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดการน้ำทำฝายชะลอน้ำโดยภูมิปัญญาพื้นบ้าน การร่วมกันอนุรักษ์ป่าชุมชนกว่า 200 ไร่ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ การนำผังตำบลไปเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการภัยพิบัติ มีการตั้งกองทุนที่ดินโดยการสมทบของสมาชิก ตลอดจนการหนุนช่วยผู้ยากไร้ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งงานที่ทำทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การพิสูจน์สิทธิ์การถือครองให้ได้ซึ่งสิทธิ์ทำกินและการอยู่อาศัย
                      ที่ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เป็นอีกตำบลหนึ่งที่ชาวบ้านได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ดินก่อนที่จะมีนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล โดยในอดีตประมาณปี 2520 ชาวบ้านได้เข้ามาจับจองพื้นที่ทำกินเพื่อปลูกกาแฟซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในขณะนั้น และในปีถัดมารัฐบาลได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ “รับร่อ-สลุย” จำนวน 6 แสนกว่าไร่ กินที่ดินกว่าร้อยละ 90 ของตำบล ตามมาด้วยในปี 2531 รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ป่าบริเวณคลองรับร่อฝั่งขวาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จนกระทั่งปี 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ ทำให้พื้นที่ได้รับความเสียหายจำนวนมาก
                      ประกอบกับการสัมปทานป่าไม้จากรัฐ ทำให้พื้นที่ป่าได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ชาวบ้านจากทุกสารทิศเข้ามาจับจองพื้นที่ทำกิน จนกระทั่งในปี 2538 รัฐได้ยกเลิกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเดิมที่ประกาศเมื่อปี 2531 แล้วประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ขึ้นมาใหม่
                      หลังมีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรับร่อขึ้นมา องค์การบริหารส่วนตำบลรับร่อ โดยนายอวยพร มีเพียร นายก อบต. ที่มีความจริงจังกับการแก้ปัญหาที่ดิน ก็ได้ประสานงานกับสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อมาทำงานร่วมกับผู้เดือดร้อน เป็นความร่วมมือ 3 ประสาน ตั้งเป็นคณะทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจำนวน 185 ราย และแกนนำท้องที่ ท้องถิ่น ในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาที่ดินร่วมกัน โดยการเปิดเวทีประชาคมเพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการ ดิน น้ำ ป่าและทุนชุมชนสู่ความยั่งยืนอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งเวทีดังกล่าวได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน 3 ประการ คือ 1)ชาวบ้านจะหยุดบุกรุกทำลายป่าและปลูกป่าเพิ่มในที่สาธารณะป่ากันชนและริมถนน 2)ร่วมกันปลูกต้นไม้ตลอดสายน้ำเพื่อฟื้นฟูและคงความอุดมสมบูรณ์ให้แก่แหล่งน้ำ 3)ให้จัดตั้งธนาคารที่ดินตำบลรับร่อ
                      นอกจากร่วมกันทำข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ยังร่วมจัดทำข้อมูลที่ดินทั้งรายแปลงและที่ดินรวมทั้งตำบล เพื่อเป็นเครื่องมือในการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นองค์กรหลักในการประสานงานกับหน่วยงานเหล่านั้น เช่น การเจรจากับผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร โดยนำแปลงของชาวบ้านที่ถูกจับกุมเป็นกรณีศึกษาหาทางออกร่วมกันจนชาวบ้านหลุดพ้นจากความไม่เป็นธรรม ตลอดจนการนำข้อมูลที่ดินที่จัดทำแล้ว ไปเจรจากับกรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
                      “เราไม่ได้หวังว่าจะได้เอกสารสิทธิรายแปลง เพราะที่ดินทุกแปลงมีปัญหาหมด แม้แต่หน่วยงานรัฐก็ตั้งอยู่ในที่เหล่านี้ แต่การต่อสู้ของเราก็เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านได้สิทธิ์ทำกินและการอยู่อาศัย โดยจะไม่มีการบุกรุกเพิ่มแต่จะร่วมมือกันดูแลรักษาดินน้ำป่าให้สมบูรณ์ เพราะหลักในการทำงานของเราก็คือ คนรับร่ออยู่ได้ ป่าอยู่ได้” นายก อบต.รับร่อ กล่าว
                      นี่เป็นเพียงรูปธรรมบางส่วนที่ภาคประชาชนได้ร่วมกันทำงานเพื่อแก้ปัญหาที่ดิน ก่อนหน้าที่จะมีนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล เชื่อว่าหากรัฐบาลเข้ามาทำงานโดยการประสานงานกับชาวบ้านเหล่านี้อย่างเข้าอกเข้าใจก็จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมากมายขนาดนี้
                      แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เครือข่ายประชาชนภาคใต้ ซึ่งทำงานด้านการแก้ปัญหาที่ดิน ก็ได้ยื่นหนังสือกับฝ่ายนโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง รวมทั้งการยื่นหนังสือกับศูนย์ดำรงธรรมเกือบทุกจังหวัด แต่ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข ในทางตรงกันข้ามรัฐกลับมีการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2558 ก็ได้ยื่นข้อเสนอกับกองทัพภาคที่ 4 อีกครั้งหนึ่ง ที่สำคัญคือ
                      1. ให้รัฐบาลยึดถือคำสั่งที่ 66/2557 เป็นหลักในการดำเนินงานที่ไม่กระทบกับผู้เดือดร้อนหรือผู้ยากไร้ที่อาศัยอยู่ก่อน
                      2. ให้ยึดถือนโยบายของรัฐบาลข้อ 9.3 ที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ความว่า “ในระยะต่อไป พัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดิน และแก้ไขการบุกรุกที่ดินของรัฐบาลโดยยึดแนวพระราชดำริที่ให้ประชาชนสามารถอยู่รวมกับป่าได้ เช่น กำหนดเขตป่าชุมชนให้ชัดเจน พื้นที่ใดที่สงวนหรือกันไว้เป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ก็ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดพื้นที่ใดสมควรให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ก็จะผ่อนผันให้ตามความจำเป็นโดยใช้มาตรการทางการบริหารจัดการ มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และการปลูกป่าทดแทนเข้าดำเนินการ ทั้งจะให้เชื่อมโยงกับการส่งเสริมการมีอาชีพและรายได้อื่นอันเป็นบ่อเกิดของเศรษฐกิจชุมชนที่ต่อเนื่องเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยที่ดินยังเป็นของรัฐจะจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ จัดทำทะเบียนผู้ถือครองที่ดินในที่ดินของรัฐ ปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการที่ดินของรัฐและเอกชนให้มีเอกภาพเพื่อทำหน้าที่ด้านกำหนดนโยบายด้านที่ดินในภาพรวม และปรับปรุงกลไกภาษีเพื่อกระจายการถือครองที่ดิน เร่งรัดการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้โดยไม่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ แต่รับรองสิทธิร่วมในการจัดการที่ดินของชุมชน กำหนดรูปแบบที่เหมาะสมของธนาคารที่ดินเพื่อให้เป็นกลไกในการนำทรัพยากรที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
                      3. ให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมทุกระดับ ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
                      4. ในการแก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูลข้อเท็จจริง ที่มีการรับรองร่วมกัน และต้องหยุดการตัดโค่นต้นไม้ ของชาวบ้านไว้ก่อนจนกว่าจะมีข้อตกลงเป็นที่ยุติ
                      อย่างไรก็ดีในส่วนของชาวบ้านก็ใช่ว่าจะเรียกร้องรัฐเพียงอย่างเดียวแต่ได้มีข้อตกลงร่วมกันของชาวบ้านเองและปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในหลายๆ พื้นที่แล้วว่า จะร่วมกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่ม รวมทั้งจะร่วมกันดูแลรักษา ดิน น้ำ ป่า ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพราะมีความตระหนักอยู่เสมอว่า การแก้ปัญหาต้องนำไปสู่แนวคิดที่ว่า “ป่าต้องอยู่ได้ คนต้องอยู่ดี” อย่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น)

Leave a comment