ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20151017/215308.html
แนะหลัก’4อย่า3ควร’ป้องกันฆ่าตัวตายจากสื่อออนไลน์
องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นจำนวนมากกว่า 8 แสนคน หรือ 11.69 ต่อประชากรแสนคน และจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน ในปี พ.ศ.2563 โดยมีคนพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 20 เท่าตัว เมื่อคิดเฉลี่ยต่อเวลาจะพบว่า มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คนในทุก 2 ชั่วโมง เฉลี่ยแล้วยังมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละกว่า 3,900 คน ชายมากกว่าหญิง 3 เท่า
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเด็นในการรณรงค์สำหรับปีนี้ คือ “ป้องกันการฆ่าตัวตาย ยื่นมือเพื่อช่วยชีวิต” (Preventing Suicide: Reaching Out and Saving Lives) และมอบให้กรมสุขภาพจิตเพิ่มการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหา ระดมความร่วมมือทุกภาคส่วน เน้นใน 2 กลุ่มเสี่ยง คือ 1.กลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้า ซึ่งมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงที่สุด ได้แก่ ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ข้อเสื่อม ไตวาย โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอด ผู้ติดสุรา ยาเสพติด ผู้ประสบภาวะวิกฤติ หรือมีความสูญเสียที่รุนแรง ให้ อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตรวจคัดกรองในชุมชน และเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาโดยเร็ว ซึ่งมีผลช่วยลดการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายน้อยลงในอัตราเพียง 0.4 ต่อประชากรแสนคน หรือเพียง 2 คน 2.กลุ่มฆ่าตัวตายด้วยความหุนหันพลันแล่น พบว่ากลุ่มที่เคยพยายามฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่ทำเพราะความหุนหัน และมีปัจจัยกระตุ้นจากดื่มสุรา ปัญหาครอบครัว โดยให้ อสม. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ลงเยี่ยมบ้าน ให้คำปรึกษาแนะนำและส่งต่อเข้าสู่ระบบบริการ
“ที่น่าเป็นห่วงคือ กระแสโลกในยุคสังคมดิจิทัล ประชาชนนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ยิ่งเข้าถึงโลกออนไลน์มากเท่าใด ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการทำร้ายตนเอง หรือฆ่าตัวตาย จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย จิตใจเปราะบาง ถูกกีดกันทางสังคม หรือถูกกลั่นแกล้ง จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนให้เข้าใจถึงสัญญาณเตือน และวิธีการช่วยเหลือ ช่วยเตือนสติผู้ที่กำลังทุกข์ให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เลิกคิดทำร้ายตัวเอง หรือหยุดความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ทันเวลา” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผลการสำรวจพฤติกรรมการฆ่าตัวตายของคนไทยพบว่า ก่อนลงมือฆ่าตัวตาย เกือบครึ่งจะแสดงท่าที หรือสัญญาณเตือนบอกเหตุแก่ครอบครัวและบุคคลใกล้ชิด ทั้งจากคำพูด การเขียนจดหมาย การส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) การไลน์ หรือการโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงถึง 1 เดือน ซึ่งจะพบมากที่สุดในช่วง 3 วันแรกก่อนการเสียชีวิต และร้อยละ 79 จะมีเหตุกระตุ้นก่อน เช่น ดื่มสุรา และทะเลาะกับคนใกล้ชิด
“ในระยะหลังพบว่า มีการส่งสัญญาณก่อนฆ่าตัวตายทางสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ทั้งข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอ อาทิ การตัดพ้อ หรือพูดจาสั่งเสียเป็นนัยๆ เช่น ลาก่อน ครั้งนี้จะเป็นโพสต์สุดท้าย คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว อโหสิกรรมให้ด้วย หรือบอกถึงการจัดการทรัพย์สิน และให้เบอร์ญาติพี่น้องทิ้งไว้ หรือใช้ข้อความบ่งบอกไม่อยากมีชีวิตอยู่ เช่น อยู่ไม่ได้จริงๆ ถึงเวลาแล้ว ชีวิตมันสั้นนัก มางานศพกันด้วยล่ะ หรือพูดถึงความเจ็บปวดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา อ่อนแอกับเรื่องนี้มาก เหนื่อยชีวิต เครียดกับทุกอย่าง รวมทั้งโพสต์ถึงการเป็นภาระของผู้อื่น หรือรู้สึกผิด เช่น ขาดเราไปมันคงดีขึ้น บางรายโพสต์ภาพวิธีที่จะใช้ฆ่าตัวตาย เช่น ใช้ปืนจ่อขมับ ดังนั้น หากเห็นสัญญาณที่กล่าวมานี้ ขอให้ช่วยกันเตือนสติ ให้กำลังใจ เลิกคิดทำร้ายตัวเอง หรือหยุดความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ทันเวลา อย่าคิดว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ เป็นเรื่องไร้สาระ ล้อเล่น หรือไม่คิดฆ่าตัวตายจริงๆ ทำให้ไม่สามารถยับยั้งหรือช่วยเหลือได้ทันเวลา” นพ.เจษฎา กล่าว
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ผู้ชายฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิง 3 เท่า และเป็นกลุ่มอายุ 35-39 ปี มากที่สุด อัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่ที่ภาคเหนือ ที่ จ.ลำพูน อัตรา 20 ต่อประชากรแสนคน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การฆ่าตัวตายนอกจากจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของพ่อแม่ พี่น้อง สามี ภรรยา และเพื่อนๆ ของผู้ตายแล้ว ยังมีผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และยังพบอีกว่า การฆ่าตัวตายติด 10 อันดับแรกของสาเหตุการตายของประชากรโลก
“ต้องแนะนำหลัก 4 อย่า และ 3 ควร เป็นแนวทางป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายจากสื่อสังคมออนไลน์ โดย 4 อย่า ได้แก่ 1.อย่าท้าทาย ไม่สื่อความหมายต่างๆ เช่น ทำเลย กล้าทำหรือเปล่า เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้เขาทำ 2.อย่าใช้คำพูดเยาะเย้ย เช่น โง่ บ้า หรือตำหนิอื่นๆ เพราะจะยิ่งเพิ่มความคิดทางลบ และเพิ่มโอกาสทำมากขึ้น 3.อย่านิ่งเฉย การนิ่ง เสมือนเป็นการสนับสนุนทางอ้อม 4.อย่าส่งข้อความ หรือเผยแพร่ภาพการฆ่าตัวตายและความเศร้าโศกของครอบครัวผู้เสียชีวิตจนมากเกิน เพราะจะกระตุ้นให้ผู้ที่คิดฆ่าตัวตายเกิดการเลียนแบบ และเป็นการเคารพผู้กระทำและความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตด้วย” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
ส่วนสิ่งที่ควรทำ 3 ควร ได้แก่ 1.ควรห้าม หรือขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะโดยทั่วไปผู้ที่คิดฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะลังเลใจ จะช่วยให้ยับยั้งใจได้มากขึ้น 2.ควรชวนคุย ประวิงเวลาให้มีโอกาสทบทวน โดยการถามถึงความทุกข์ รับฟัง และไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียว ให้คิดถึงคนที่รักและเป็นห่วง แนะทางออกอื่นๆ และ 3.ควรติดต่อหาความช่วยเหลือ เช่น บุคคลที่ใกล้ชิดเขาที่สุดขณะนั้น โดยกรมสุขภาพจิต มีสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ โทร.191 หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อเข้าสู่ระบบบริการโดยเร็วขอให้ประชาชนยึด
