ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20151027/215843.html
‘13ปีสสส.’ต้องทบทวนบทบาท! : ทีมข่าวโต๊ะการศึกษา-สาธารณสุข0รายงาน
คงไม่มีข้อสงสัยถึงผลงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่หลายๆ โครงการสามารถชี้ให้เห็นอันตรายของสิ่งที่ทำลายสุขภาพ ส่งผลให้เกิดการป้องกันโรคของคนไทย อาทิ โครงการงดเหล้าเข้าพรรษา งานบุญปลอดเหล้า ให้เหล้า=แช่ง คนไทยไร้พุง พื้นที่สาธารณะปลอดบุหรี่และสวดมนต์ข้ามปี เป็นต้น
แต่สำหรับข้อสงสัยเรื่อง “การใช้งบประมาณ” เป็นประเด็นที่ต้องแยกออกจาก “ผลงาน” เพราะ สสส.เป็นองค์กรที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาษีสุราและยาสูบ ในอัตรา 2% โดยปี 2545 ปีแรก สสส.ได้รับงบ 1,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จนปี 2557 ได้รับ 4,064 ล้านบาท รวม 13 ปี ได้รับงบกว่า 35,000 ล้านบาท ถือว่าไม่น้อย!!!
สสส.ถูกตั้งคำถามมานานเกี่ยวกับเรื่องงบ ตั้งแต่เรื่อง “การจัดสรรงบให้กับกลุ่มคนหรือองค์กรหน้าเดิมๆ” ซึ่งดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รักษาการผู้จัดการ สสส. เคยชี้แจงกับ “คม ชัด ลึก” ว่า “บางโครงการจำเป็นต้องอาศัยความต่อเนื่องในการดำเนินงาน” จนถึงรัฐบาลยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามที่จะกะเทาะงบ สสส.มาแล้วครั้งหนึ่ง จากการที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น เสนอให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ส่วนที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณให้เป็นตามวินัยการเงินการคลัง ที่เสนอให้นำภาษีสุราและยาสูบส่วนที่จัดสรรให้ สสส. และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) ดำเนินการผ่านระบบงบประมาณแผ่นดินเหมือนหน่วยงานภาครัฐ แต่เกิดแรงต้านจนเงียบไป
กระทั่ง ล่าสุด ปรากฏผลสอบ สสส.ของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกมาว่า การอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง สสส. ได้แก่ โครงการสวดมนต์ข้ามปี วงเงิน 33.45 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนการส่งคนไปปฏิบัติงานในองค์การอนามัยโลก วงเงิน 3.84 ล้านบาท ไม่ได้ช่วยสร้างเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและการลดการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชาชนตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง สสส.
และศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกำหนดแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 มี นพ.เสรี ตู้จินดา เป็นประธาน ก่อนที่ “ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์” จะประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการ สสส.ท่ามกลางเสียงแว่วว่า เกิดขึ้นแบบฉิวเฉียดก่อนที่จะโดนมาตรา 44
ประเด็นการให้งบผิดวัตถุประสงค์ สสส.ยากที่จะอธิบายต่อสังคม เมื่อปรากฏโครงการที่ผ่านการอนุมัติจาก สสส.แต่ดูเหมือนจะไม่อยู่ในขอบข่ายเรื่องสุขภาพตามความหมายที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ อย่างเช่น “โครงการทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” ของ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2553-ต้นปี 2556 โดยในบทสรุปพูดถึงเรื่องของความขัดแย้งทางการเมือง ที่มีรากฐานจากความขัดแย้งเชิงกลุ่มชนชั้นทางเศรษฐกิจ ทำให้ถูกสงสัยมากว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร เป็นต้น
จุดที่ไม่ลงล็อกของเรื่องอยู่ที่การ ตีความ คำว่า “สุขภาพ” ที่แตกต่างกัน สสส.ให้ความหมายแบบกว้างเกินไป ครอบคลุมเรื่อง “สุขภาวะ” ที่หมายรวมถึง “กาย จิต สังคม และ ปัญญา” ดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์หลัก 6 ข้อ 1.ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่มวัย ตั้งแต่เด็กจนสูงอายุ 2.สร้างความตระหนักของประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงเพื่อลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ 3.สนับสนุนการรณรงค์เพื่อลดการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4.สนับสนุนการวิจัยที่ทำให้เกิดการสร้างเสริมสุขภาพ 5.พัฒนาความสามารถของชุมชน องค์กรเอกชน องค์การสาธารณประโยชน์ และหน่วยงานภาครัฐ และ 6.สนับสนุนการจัดกิจกรรมและสื่อเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ
“แต่อำนาจของ สสส.คือ เรื่องสุขภาพ การทำงานต้องชัดเจนตามกฎหมายที่มี เพราะการทำงานที่กว้างจนเกินไป ทำให้มองว่า การดำเนินงานของ สสส.ดูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ การเข้าไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ของ สสส.ก็ต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน และอธิบายได้ชัดเจนว่าให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพอย่างไร” นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็น
สอดรับกับความเห็นของ “ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล” กล่าวว่ากำหนดกรอบการทำงานด้านสุขภาพของ สสส.ให้ชัดเจน จะตีความตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 มิเช่นนั้นก็จะดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม จุดสุดท้ายของการตรวจสอบการใช้งบของ สสส.จะอยู่ที่ ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มี “พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน
หากแม้นพบว่าผิดจริง !!! นอกเหนือจากการต้องดำเนินการให้ผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบแล้ว จะต้องหาทางออกเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ ซึ่งเมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากการตีความสุขภาพต่างกัน ก็ต้องปรับด้วยการ กำหนดกรอบสุขภาพ ให้ตรงกัน ส่วนการใช้งบผิดวัตถุประสงค์เป็นเรื่องของงบขาออก ต้องสร้างกลไกการอนุมัติโครงการ เพื่อให้ สสส.ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เรื่องสุขภาพที่แท้จริง และป้องกันความไม่โปร่งใสหรือผลประโยชน์ทับซ้อน
แต่คงจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่งบขาเข้า ด้วยการนำระบบการจัดสรรงบให้ สสส.เข้าไปอยู่ในกลไกเดียวกับหน่วยงานราชการ เพราะไม่อาจปฏิเสธว่า การมีองค์กรที่ได้รับงบเช่นนี้ ทำให้การทำงานไหลโล่ง ต่างจากระบบราชการ ส่งผลให้หลายๆ งานเกิดผลต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ตรงและเร็วกับประชาชน
กลไกการอนุมัติโครงการของสสส.
โครงการที่พัฒนาเสร็จสิ้น เสนอต่อสำนักงานภายใน สสส.ที่เกี่ยวข้อง ส่งโครงการกลั่นกรองวิชาการ ก่อนเสนอเข้าสู่การอนุมัติตามขนาดโครงการที่มีผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ดังนี้
ขนาดโครงการ ต่อจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ
มากกว่า 20 ล้านบาท 7 คนโดยการประชุมผ่านคณะกรรมการบริหารแผนแต่ละด้าน
มากกว่า 10-20 ล้านบาท 7 คนโดยการประชุม
มากกว่า 5-10 ล้านบาท 7 คน
มากกว่า 1-5 ล้านบาท 5 คน
มากกว่า 2 แสน-1 ล้านบาท 3 คน
มากกว่า 2 แสนบาท 1 คน
ผลงานของสสส.
โครงการงดเหล้าเข้าพรรษา
โครงการงานบุญปลอดเหล้า
โครงการให้เหล้า=แช่ง
โครงการคนไทยไร้พุง
โครงการพื้นที่สาธารณะปลอดบุหรี่
โครงการสวดมนต์ข้ามปี
โครงการรณรงค์ลดนักสูบหน้าใหม่
โครงการรับน้องปลอดเหล้า
โครงการสถานศึกษาปลอดเหล้่า
โครงการเด็กไทยอ่อนหวาน
โครงการโรงเรียนรักเดิน
โครงการค่ายเยาวชนจิตอาสา
โครงการปิดเทอมสร้างสรรค์
โครงการพื้นที่นี้ดีจัง
***** ฯลฯ ***********
