ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/577227
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ก.พ. 2559 05:01

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.59 ที่ผ่านมา “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เสด็จฯเป็นองค์ประธานการประชุมกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย
ประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ก็คือ มติที่ประชุมที่เห็นชอบการขอต่ออายุการใช้พื้นที่ “โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หลังปี พ.ศ.2560 ออกไปอีก 30 ปี ภายหลังจากได้ดำเนินโครงการในพื้นที่นี้ด้วย “ศาสตร์พระราชา” และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ผ่านไปครบ 30 ปี สามารถเปลี่ยน “ดอยตุง” จากพื้นที่ทุรกันดาร ผู้คนซึ่งประกอบด้วยชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อย 6 เผ่าที่มีสภาพความเป็นอยู่แร้นแค้น ไม่มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทั้งถนน น้ำ ไฟฟ้า ทำให้คนในพื้นที่ต้องหาทางรอดด้วยการปลูกฝิ่น ทำไร่หมุนเวียน ค้ายาเสพติด และส่งลูกสาวขายเป็นโสเภณี เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น
จากภูเขาหัวโล้น ถูกพัฒนากลายเป็นพื้นที่ป่า การทำไร่หมุนเวียนหมดไป มีป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอย และป่าเศรษฐกิจมาแทนที่ มีคนได้รับสัญชาติไทยมากขึ้น ระดับการศึกษาดีขึ้น รายได้มากขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องเข้าไปหางานในเมือง และลูกสาวไม่ถูกขายเป็นโสเภณี ได้ความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์กลับคืนมา!
แนวทางการทำงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยังขยายผลไปในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ โดยที่คงมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ไม่เคยรู้ว่า แนวทางที่เป็น “ศาสตร์พระราชา” นั้นมีโครงการที่ขยายผลไปต่างประเทศจนได้รับการยอมรับเป็นศาสตร์ของโลกไปแล้ว
“ทีมเศรษฐกิจ” ได้ลงพื้นที่ดอยตุง พร้อมสัมภาษณ์ “ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล” ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ถึงเรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยที่ “การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” ของประเทศไทยได้รับการยอมรับจากเวทีโลกให้เป็น “แบบอย่าง” ให้ประเทศอื่นปฏิบัติตาม ดังนี้ :
จุดกำเนิดโครงการพัฒนาดอยตุง
ม.ร.ว.ดิศนัดดา ที่คนรู้จักมักคุ้นมักเรียกว่า “คุณชาย” ย้อนรอยให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟังว่า วันที่ 15 ม.ค.2530 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “สมเด็จย่า” เสด็จมาที่ดอยตุงแห่งนี้ และรับสั่งว่า “ตกลงฉันจะสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการดอยตุง ฉันไม่มา”
จุดเริ่มต้นของ “โครงการพัฒนาดอยตุง” จึงถือกำเนิดขึ้นนับจากวันนั้น….
“สมัยลงพื้นที่ดอยตุงใหม่ๆ ผมต้องปลอมตัวเป็นนายช่างชลประทาน ชื่อว่านายสมชาย เพื่อให้เหมือนกับที่คนเรียกว่าคุณชาย โดยได้ใช้เวลา 3 ปีสร้างความเข้าใจกับชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่ทั้ง 6 เผ่าได้แก่ อาข่า ลาหู่ ไทยใหญ่ ไทยลื้อ ลัวะ และจีน
จนมีการสร้างพระตำหนักดอยตุง หรือ “บ้านที่ดอยตุง” ของสมเด็จย่า มีถนน ไฟฟ้า น้ำ ตามมา ผู้คนก็เริ่มเชื่อ จากนั้นจนครบ 6 ปี ชาวบ้านก็กลายมาเป็นพวกเดียวกัน เพราะสามารถเปลี่ยนชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อยที่ยากไร้ มาเป็น “เกษตรกรรับจ้าง” และ “พนักงานของโครงการ” สามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีจากที่เขาเคยได้ 3,772 บาท แต่มาทำงานกับโครงการฯ ให้เงินวันละ 40 บาท หรือปีละ 300 วัน ได้รับเงิน 12,000 บาท
ต่อมาปี 2537-2545 เป็นระยะที่ 2 ทำให้คนอยู่ดีมีสุข มีการศึกษา และสร้างคนเข้ารับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จนล่วงสู่ระยะที่ 3 จากปี 2546-2560 ตอนนี้ทุกคนมีรายได้อย่างต่ำวันละ300 บาท และหลายคนที่มาทำงานกับโครงการจนเก่ง เชี่ยวชาญ ก็ให้กู้เงินไปทำกิจการของตัวเอง
“ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทต่างๆ เวลาสร้างคนให้เก่งแล้วก็ไม่อยากให้ย้ายไปไหน แต่สำหรับโครงการพัฒนาดอยตุงเราคิดต่างกัน ใครที่เก่งแล้วจะให้โอกาสมีกิจการของตัวเอง”
รุกขยายผล “ดอยตุงโมเดล” ในไทย
โครงการในระยะหลังของ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ, อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง หอฝิ่น และอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
เมื่อโครงการพัฒนาดอยตุงประสบความสำเร็จ ตาม “ตำราแม่ฟ้าหลวง” คือ “การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน” โครงการขยายผลในประเทศไทยจึงเกิดขึ้น
เช่น ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯได้ดำเนินโครงการปลูกป่าสร้างคนบนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ที่ อ.ท่าวังผา อ.สองแคว และ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน รวมพื้นที่ 250,000 ไร่ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
โดยนำองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ คือ “ศาสตร์พระราชา” และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ในเรื่องการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ดิน และน้ำ ไปปรับใช้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน
ผลการดำเนินงานที่ได้นั้น ได้เพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์จาก 40% ขึ้นเป็น 60% เปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ไปเป็นป่าเศรษฐกิจ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าวโพด และการลดการเกิดไฟป่าจากกว่า 76,000 ไร่ ในปี 2556 เหลือเพียง 89 ไร่ในปี 2558
ทำให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) น้อมนำเอาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ตาม “ดอยตุงโมเดล” ไปเป็นเป้าหมายของยุทธศาสตร์บูรณาการการจัดการป่าเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) และผลักดันให้พื้นที่โครงการฯ เป็น “พื้นที่นำร่อง” ในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลภายในปี 2559
และเป็น “ต้นแบบ” ในการขยายผลเพื่อแก้ปัญหาเขาหัวโล้นและเพิ่มพื้นที่ป่าใน 13 จังหวัดภาคเหนือต่อไปอีกด้วย
“สร้างชีวิตยั่งยืน” ในต่างประเทศ
“คุณชาย” ยังกล่าวด้วยว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” ยังได้นำ “ดอยตุงโมเดล” ไปขยายผลในต่างประเทศได้แก่ โครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่หมู่บ้านหย่องข่า รัฐฉาน อ.เยนันชอง ภาคมะกวย จ.ท่าขี้เหล็ก และ จ.เมืองสาด รัฐฉาน
“ดอยตุงโมเดล” ที่ อ.เยนันชอง ภาคมะกวย นั้น ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน พัฒนาศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน มีการจัดตั้ง “กองทุนเซรุ่มแก้พิษงู” พัฒนาแหล่งน้ำ ทำให้ชุมชนมีน้ำพอใช้เพิ่มขึ้น
ตลอดทั้งปี มีการอบรมสัตวบาล ตั้งกองทุนยา ช่วยลดอัตราการตายของสัตว์ลง จัดตั้งธนาคารแพะ กองทุนเมล็ดพันธุ์ สร้างอาสาสมัครพัฒนาจำนวน 67 คน มีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ ได้แก่ ถั่ว งา และน้ำตาลโตนด สร้างเป็นวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ชื่อแบรนด์ Happy Owl วางขายตามแหล่งท่องเที่ยว
รวมทั้งยังมีโครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน จ.บัลคห์ สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ทำโครงการส่งเสริมปศุสัตว์และพัฒนาวิสาหกิจชุมชน (ธนาคารแกะ) ครอบคลุม 500 ครัวเรือนใน 15 หมู่บ้าน
ขณะที่ “โครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” จ.อาเจะห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้เข้าไปในปี 2549 เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชาวอาเจะห์ และเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด หลังประสบความขัดแย้งภายในประเทศมานานกว่า 3 ทศวรรษ และเผชิญภัยภิบัติ “สึนามิ” เมื่อปี 2549
โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการคือ การรักษาและป้องกันโรคมาลาเรียในหมู่บ้านลัมทูบา และหมู่บ้านใกล้เคียง จนได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอาเจะห์ให้เป็นต้นแบบแนวทางการจัดการโรคมาลาเรียทั้งอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการฝึกอบรมทางการแพทย์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และมณฑลยูนนานและกวางสีในจีนอีกด้วย
“ศาสตร์พระราชา” กระหึ่มเวทีโลก!
นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมกำหนดนโยบายเรื่องยาเสพติด และการพัฒนาในระดับโลก เป็นการเผยแพร่และขยายผลแนวทางการพัฒนาตาม “ศาสตร์พระราชา” ในเวทีระหว่างประเทศ
โดยช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นอกจากมูลนิธิฯจะนำประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ไปขยายผลในพื้นที่ต่างๆทั้งในและต่างประเทศแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่หลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในเวทีระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะในเวที “สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC)” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯได้ร่วมกับรัฐบาลไทย รัฐบาลเปรู และ UNODC จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ประเทศไทยจนนำไปสู่การยกร่าง “แนวปฏิบัติสากลว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก”
ต่อมาในเดือนธันวาคม 2556 แนวปฏิบัติดังกล่าวได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ณ นครนิวยอร์ก ให้เป็น “หลักปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (UNGPs)”
ถือเป็นเอกสารอ้างอิงสำคัญให้ประเทศทั่วโลกนำ “โครงการพัฒนาทางเลือก” ไปดำเนินการ ซึ่งหลักการสำคัญหลายประการได้รับการพัฒนามาจากประสบการณ์ของไทยและ “ศาสตร์พระราชา”
“การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในขณะนี้ นานาประเทศประจักษ์มากขึ้นว่า “การพัฒนาทางเลือก” และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นเรื่องที่สอดคล้องกัน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในเวทีด้าน “การพัฒนาทางเลือก” และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ของโลกต่อไป”
ถือเป็นความภาคภูมิใจสำหรับประชาชนคนไทยที่มีต่อ “กษัตริย์ของโลก” พระองค์นี้อย่างหาที่สุดมิได้!!!
ม.ร.ว.ดิศนัดดากล่าวว่า หลังจากนี้กำลังจะนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนไปใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มั่นใจว่าจะเห็นผลสำเร็จใน 8 ปี.
ทีมเศรษฐกิจ