คุก1ปี‘ประสงค์’หมิ่นตุลาการศาลรธน.คดีซุกหุ้นทักษิณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160216/222550.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559
คุก1ปี‘ประสงค์’หมิ่นตุลาการศาลรธน.คดีซุกหุ้นทักษิณ

ศาลฎีกาแก้เวลารอลงอาญา“ บุรุษคาบไปป์ ประสงค์ สุ่นศิริ”คอลัมนิสตเขียนบทความปี44ดูหมิ่นอดีตตุลาการศาล รธน.เสียงข้างมาก ช่วยเหลือคดีซุกหุ้นทักษิณจาก2ปีเหลือ1ปี

          วันที่ 16 ก.พ.59 ที่ห้องพิจารณา  710  ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 โจทก์ , นายกระมล ทองธรรมชาติ , นายผัน จันทรปาน, นายศักดิ์ เตชาชาญ, นายปรีชา เฉลิมวณิชย์, นายอนันต์ เกตุวงศ์, นายสุจินดา ยงสุนทร และนายจุมพล ณ สงขลา อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมากคดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-7 ยื่นฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตคอลัมน์นิสตหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉายา “ บุรุษคาบไปป์ ” , นายจีระพงศ์ เต็มเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.แนวหน้า (ขณะฟ้องปี 2545)  , บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด , นางผานิต พูนศิริวงศ์ และนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท ในความผิดร่วมกันฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร, ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198,326,328
          ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 ส.ค.45 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค.44 จำเลยทั้งห้าร่วมกันดูหมิ่นและหมิ่นประมาทตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 เสียง ที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบว่าไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 โดยจำเลยที่ 2 พิมพ์บทความใน นสพ.แนวหน้า ฉบับลงวันที่ 28 ส.ค.44 หน้า 3 ซึ่งคอลัมน์ของจำเลยที่ 1 วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้โจทก์ร่วมทั้งเจ็ด ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
          โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.47 ให้จำคุก น.ต.ประสงค์ และนายจีระพงศ์ บก.นสพ.แนวหน้า จำเลยที่ 1-2 ฐานร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี คนละ 1 ปีและปรับ 7,000 บาท โดยโทษจำคุก ให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ผู้บริหารบริษัทแนวหน้าฯ ให้ยกฟ้อง
          ต่อมาโจทก์ และจำเลยอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.ย.51 ยังคงให้จำคุก น.ต.ประสงค์และนายจีระพงศ์ บก.นสพ.แนวหน้า จำเลยที่ 1-2 คนละ 1 ปี และปรับ 7,000 บาท แต่ให้เพิ่มระยะเวลาการรอลงอาญาจาก 1 ปี ให้เป็นไว้ 2 ปี โดยอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โจทก์ร่วม และจำเลยทั้งสอง ยื่นฎีกา
          ขณะที่ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า น.ต.ประสงค์ จำเลยที่ 1 ผู้เขียนบทความ เบิกความว่า ได้รับจดหมายแสดงความคิดเห็นของคณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีลักษณะ สองมาตรฐาน แม้จะไม่ได้มีการระบุชื่อผู้ให้ความเห็นในจดหมายแต่มีตราของมหาวิทยาลัยประทับอีกทั้งยังมีความเห็นจากนักกฎหมายหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยในครั้งนี้ รวมถึงยังมีการเสนอข่าวจากสื่อมวลชนถึงคำวินิจฉัยในเรื่องนี้เช่นกัน
          ขณะที่นายบัณฑิต ศิริพันธุ์  ทนายความของจำเลย ยังเบิกความด้วยว่า มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาเล่าให้ฟังว่า คดีซุกหุ้นมีการวิ่งเต้น ช่วยเหลือ โดยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าพบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้นั้น 1 เสียง ซึ่งมีการอ้างว่า นางเยาวภา มีการให้อามิสสินจ้างประโยชน์แก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไว้เรียบร้อยแล้ว 4 คน
          แม้ข้อนี้จะไม่มีใครมาเบิกความยืนยันคำพูดของนายบัณฑิต แต่ก็ไม่มีการดำเนินคดีกลับนายบัณฑิตที่มีการกล่าวอ้างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้นั้นเช่นเดียวกันด้วย ดังนั้นเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นข้อน่าสงสัย ซึ่งบทความจำเลยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่ได้รับฟังพยานหลักฐานมา และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบทความนั้นไม่ใช่การใส่ความในเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น จึงให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 – 2 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
          แต่การกระทำของจำเลยที่ 1-2 ผิดฐานดูหมิ่นตุลาการฯ ตาม ม.198 หรือไม่ ซึ่งจำเลย ยื่นฎีกาว่าเมื่อมีการยึดอำนาจ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)และได้ออกประกาศ คปค.ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญและสิ้นสุดการทำงานศาลรัฐธรรมนูญแล้วทำให้ไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่า แม้มีประกาศ คปค. ยกเลิกรัฐธรรมนูญสิ้นสุดการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายข้อบังคับเรื่องดูหมิ่นศาลฯ ไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ความผิดฐานดูหมิ่นศาลฯ  ตาม ม.198 จึงยังคงอยู่ ฎีกาของจำเลยส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
          ส่วนที่อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โจทก์ร่วม ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักและไม่รอการลงโทษนั้น ฎีกาฟังไม่ขึ้น ศาลเห็นว่า จำเลยไม่เคยถูกต้องโทษทางอาญา ประกอบกับพิจารณาวุฒิภาวะการศึกษา อายุ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้กำหนดเวลารอการลงโทษจำเลยที่ 1-2 คนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
          ภายหลัง น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ขอบคุณศาลฎีกาเป็นอย่างสูงที่พิจารณาและพิเคราะห์แล้วตนไม่มีโทษ ซึ่งตนทำด้วยความบริสุทธิ์ในฐานะสื่อมวลชน
          ขณะที่ น.ต.ประสงค์ ยังกล่าวถึงการร่างรัฐธรรมนูญว่า การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ยังมีประเด็นที่คล้ายคลึงกับร่างรัฐธรรมนูญของคณะนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่เคยตกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรูปแบบการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส.และส.ว. ขณะที่เรื่องสิทธิชุมชนและสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ขาดหายไปโดยเฉพาะสิทธิชุมชนหายไปทั้งหมดและเรื่องศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้เขียนไว้ ซึ่งรัฐธรรมนูญทุกฉบับเคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เขียนไว้ และสำคัญที่สุดเรื่องพระราชอำนาจที่เคยบัญญัติไว้ในมาตรา 7 ร่างฉบับนี้บัญญัติมาตรา 7 ไว้ไม่เหมือนเดิม เอาไปไว้ในองค์กรอื่น
          “ผมเห็นว่าหลายเรื่อง ควรจะรีบแก้ไขและปรับปรุงให้เป็นไปตามความเห็นของผู้ที่เสนอความเห็นแก้ไขมาแล้ว ซึ่งต้องรับฟังโดยการรับฟังที่ดีที่สุดนั้น ผมคิดว่าจะผ่านประชามติง่าย ถ้าไม่ใช้วิธีการมาถามประชาชนโดยบอกว่าองค์กรนั้น องค์กรนี้คิดเห็นอย่างนี้ แต่ให้ใช้วิธีจัดรับฟังความคิดเห็นทีเดียว แบบ 3 วัน 3 คืน คือเอาทุกภาคส่วนมาร่วมสัมมนากันทั้งฝ่าย คสช. ,รัฐบาล, ฝ่ายร่างรัฐธรรมนูญ , พรรคการเมืองต่าง ๆ ทั้งที่เคยเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้านให้ส่งตัวแทนมา 5 -10 คน และองค์กรเอกชนและภาคส่วนต่าง ๆ ให้มาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อทำข้อสรุปผมเชื่อว่าจะได้ผลกว่าการเดินไปถามโดยใช้แบบสอบถาม ผมบอกตรง ๆ เลยว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับสิ่งที่ต้องแก้ไขกันอยู่ตลอดเวลาก็คือปัญหาการเมือง , ระบบ ส.ส.และส.ว. ,รัฐสภา ให้หยิบยกเรื่องการเมืองขึ้นมาแก้ว่าจะแก้อะไร ลงโทษอะไร ก็จะไม่ต้องใช้เวลาเป็นปีหรือสองปี ซึ่งเรื่องการลงโทษบอกว่าจะเป็นฉบับปราบโกงก็เป็นปฏิบัติการจิตวิทยา ซึ่งการปฏิบัติปราบโกงอยู่ที่เจ้าหน้าที่ กฎหมายรัฐธรรมนูญจะไม่มีชีวิตชีวาถ้าคนไม่ปฏิบัติ และต้องดูพวกตัวเองด้วยว่ามีการทุจริตคดโกงในเรื่องอะไรบ้าง ถ้าได้แต่พูด เดี๋ยวความต่างๆ ที่ตัวเองเคยทำกันไว้จะโผล่ออกมา ” น.ต.ประสงค์กล่าว
          น.ต.ประสงค์ ยังได้กล่าวถึงระบบเลือกตั้ง ส.ส.ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยว่า ระบบเลือกตั้ง ส.ส.เขตและระบบเลือกตั้งส.ส.รายชื่อนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่ง ส.ส.เขตคือประชาชนคนหนึ่งอาจจะชอบคนนี้ แต่บัญชีรายชื่ออีกคนที่ลงอาจจะดีกว่า เขาก็เลือกเพราะฉะนั้นจะตัดสินประชาชนทำไมด้วยการใช้วิธีการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งใบเดียวแล้วคิดคะแนนเสียงทั้งหมด ตนไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว ระบบเก่าดีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องระบบที่มาของ ส.ว.เราเคยแก้ไขกันมาหลายครั้งทั้งให้มาจากการเลือกตั้งและการสรรหา ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า ส.ว.ยังควรเป็นระบบผสม

Leave a comment