จากคปป.2ถึงประชาธิปไตยครึ่งใบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160221/222819.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559
จากคปป.2ถึงประชาธิปไตยครึ่งใบ

จากคปป.2 ถึงประชาธิปไตยครึ่งใบ : คมวิเคราะห์ โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ (@jin_nation) สำนักข่าวเนชั่น

             ประเด็นร้อนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งเกิดช่วงต้นสัปดาห์ คือ ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีการพิจารณาในที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่ถูกมองว่าเป็น “คปป.” (คณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปประเทศและการปรองดองแห่งชาติ) หรือไม่

อีกเรื่องเกิดขึ้นช่วงปลายสัปดาห์ คือ “ข้อเสนอข้อสุดท้าย” ในข้อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของ ครม. ที่เสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีทั้งหมด 16 ข้อ ที่มีถ้อยคนให้ชวนระแวงสงสัยในเจตนาของ คสช. อีกครั้ง

ใจความสำคัญของข้อเสนอข้อที่ 16  คือ “ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์และความเห็นต่างเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ที่ ครม.ห่วงคือทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้เกิดความยุ่งยากโกลาหลจนประเทศจวนเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลวเหมือนก่อนพฤษภาคม 2557 ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หลังการเลือกตั้ง และหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่  ครม.จึงเห็นว่าบางทีหากบัญญัติเนื้อหาและการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็น 2 ช่วงเวลา  คือ ช่วงเฉพาะกิจหรือเฉพาะกาลในระยะแรก ซึ่งอาจไม่ยาวนานนัก โดยใช้หลักเกณฑ์อย่างหนึ่งเสมือนข้อยกเว้นตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยแต่อยู่บนพื้นฐานของการปกครองของระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.ในระดับหนึ่ง อย่างมีดุลยภาพในช่วงเปลี่ยนผ่าน และช่วงที่จะใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญในระยะต่อไป ซึ่งสอดคล้องหลักการสากลมากขึ้น และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ลดข้อจำกัดต่างๆ ลงให้มาก  ดังนี้ น่าจะแก้ปัญหาและอธิบายให้เป็นที่ยอมรับแก่ประชาชนและนานาชาติได้”

ใจความที่สำคัญและถูกตั้งเป็นคำถามมากที่สุด คือ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “การเลือกตั้ง ส.ส.ในระดับหนึ่ง อย่างมีดุลยภาพ” ที่ ครม.ต้องการให้ กรธ.บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย ใน 3 ระยะ คือ  หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หลังการเลือกตั้ง และหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่

“ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ตอบ หลังจากถูกซักถามเรื่อง “รูปแบบ” ของสิ่งที่ ครม.เสนอ

สอดคล้องกับ ประธาน กรธ.“มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่บอกว่า “ยังไม่เข้าใจและแปลไม่ออก ต้องปรึกษาและพูดคุยกับวิษณุก่อน ว่าแปลว่าอะไร และต้องการรูปแบบอย่างไร”

มีการตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นความไม่รู้จริงๆ หรือ เจตนาทำให้คลุมๆ เครือๆ ไว้” โดยเฉพาะ “การเลือกตั้ง ส.ส.ในระดับหนึ่งอย่างมีดุลยภาพ” ที่ถูกพูดถึงทันทีว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”

เพราะเหมือนจะเป็น “ยุทธศาสตร์” ของ คสช. ที่มักจะทำอะไรให้คลุมเครือ หรือวางกติกาแบบ “เปิดทาง” ไว้ก่อน จนถึงจังหวะเวลาที่จำเป็นจริงๆ จึงจะมีความชัดเจนออกมา

เช่น ไม่กำหนดให้มีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งแรกของ “รัฐธรรมนูญชั่วคราว” แต่มาแก้ไขเพิ่มเข้าไปเมื่อมีเสียงเรียกร้อง หรือการเขียนเปิดช่องไว้ “หายใจ” กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังยืนยันที่จะไม่บอกออกมาก่อนการทำประชามติ

ย้อนกลับไปที่ ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ สปท.ให้ความเห็นชอบไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางคำถามหลายข้อทั้งจากสมาชิก สปท.เอง และภาคส่วนต่างๆ เป็นการให้ความเห็นชอบภายใต้เงื่อนไขที่ว่า คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน จะกลับไปปรับปรุงแก้ไขตามข้อท้วงติงของสมาชิก และเสนอให้ไปยังประธาน สปท.เพื่อส่งต่อไปยัง ครม.ต่อไป

ใจความสำคัญของ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ คือ ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติขึ้นมาจำนวน 25 คน เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง

หลังจากรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.นี้เผยแพร่ออกมา ปรากฏว่าถูกมองและถูกตั้งคำถามว่า นี่คือ “คปป.2” หรือไม่ เพราะข้อความในบทเฉพาะกาลกำหนดให้คณะกรรมการชุดแรกประกอบด้วย นายกฯ ประธาน สนช. ประธาน สปท. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 22 คนที่ สนช.ดำเนินการสรรหาและคัดเลือก โดยเขียนเปิดทางให้คณะกรรมการที่ สนช.แต่งตั้งอยู่ได้ยาวครบวาระ 8 ปี โดยครึ่งหนึ่งจะจับสลากออก แล้วสรรหาใหม่ตามกระบวนการปกติ

พ.ต.ต.ยงยุทธ สาระสมบัติ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้จัดทำร่าง พ.ร.บ.นี้ ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวเนชั่น” ว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไม่ใช่ คปป.2 แน่นอน “จะป็น คปป.ได้ยังไง ตอนที่ผมทำเรื่องนี้ ยังไม่มีเรื่อง คปป.ในร่างรัฐธรรมนูญของบวรศักดิ์เลย”

พ.ต.ต.ยงยุทธ บอกว่า มีส่วนร่วมในการทำร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ มาตั้งแต่ตอนที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยตอนนั้นเป็นประธานอนุกรรมาธิการจัดทำร่าง พ.ร.บ.นี้

“สปช.ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ให้รัฐบาลตั้งแต่ 23 มิถุนายน 2558 หลังจากนั้น ครม.ก็ได้มีมติตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน โดยเนื้อหาสาระหลักของร่าง พ.ร.บ.ฉบับล่าสุดก็เหมือนๆ กับที่ สปช.เสนอรัฐบาลไปเมื่อปีที่แล้ว จะมีต่างกันอยู่บ้างไม่ถึง 15% ผมจึงได้บอกว่ากรรมการยุทธศาสตร์ไม่ใช่ คปป.แน่นอน เพราะเราทำก่อนจะมี คปป.ในร่างรัฐธรรมนูญของอาจารย์บวรศักดิ์”

นอกจากเป็นประธานคณะกรรมาธิการแล้ว พ.ต.ต.ยงยุทธ ยังสวมหมวกเป็น ประธานคณะทำงานจัดทำร่าง พ.ร.บ.นี้ด้วย ซึ่งช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะทำงานได้ประชุมและมีมติให้ปรับแก้ในหลายประเด็นที่ถูกท้วงติง และจะส่งต่อให้คณะกรรมาธิการ ก่อนส่งให้ประธาน สปช. เพื่อส่งต่อให้ ครม.ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบทเฉพาะกาลที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นกลไกให้มีการสืบทอดอำนาจหรือไม่นั้น พ.ต.ต.ยงยุทธ บอกว่าไม่ได้มีการแก้ไข

“ในส่วนของ 3 คนที่มาโดยตำแหน่ง คือ นายกฯ ประธาน สนช. และประธาน สปท.นั้น ตามหลักกฎหมายชัดเจนว่าเมื่อพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวและมีคนใหม่เข้ามา คนใหม่ก็ต้องมาเป็นแทน ส่วนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้น ก็ให้มีการจับสลากออกเมื่อครบ 4 ปีอยู่แล้ว”

ส่วนข้อท้วงติงที่ว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชุดแรกควรมีวาระอยู่แค่มีรัฐบาลใหม่เท่านั้น ประธานคณะกรรมาธิการบอกว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น เมื่อส่งให้ ครม.แล้ว ยังมีขั้นตอนแก้ไขได้อีก ทั้งโดย ครม. คณะกรรมการกฤษฎีกา หรือเมื่อเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.

สำหรับเรื่องอำนาจของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในการติดตามตรวจสอบว่ารัฐบาล รัฐสภา และหน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่มีการท้วงติงว่าไม่ควรมีนั้น พ.ต.ต.ยงยุทธ บอกว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทำหน้าที่เหมือนการเอกซเรย์เท่านั้นว่าใครทำหรือไม่ทำตามยุทธศาสตร์ และหากใครไม่ทำตามก็ตักเตือน หรือหากการที่ไม่ทำจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงก็จะส่งให้หน่วยงานที่มีอำนาจ คือ วุฒิสภา และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป

“หากที่ผ่านมาเรามียุทธศาสตร์ชาติ และมีกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมาก่อน ประเทศไทยอาจจะไม่ต้องเกิดความเสียหาย 6-7 แสนล้านบาท จากการดำเนินนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล” พ.ต.ต.ยงยุทธ กล่าว

ส่วนกรณีที่หากรัฐสภาไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการส่งให้ และสุดท้ายไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ยึดตามความเห็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าคณะกรรมการไปมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัตินั้น พ.ต.ต.ยงยุทธ บอกว่า ล่าสุดคณะทำงานได้แก้ไขให้เป็นของรัฐสภาแล้ว

อีกประเด็นที่คณะทำงานแก้ไข คือ ตัดข้อความที่ระบุว่า “ยุทธศาสตร์ชาติมีผลผูกพันกับรัฐสภาและ ครม.ทุกสมัย แม้มิใช่รัฐสภาหรือ ครม.ที่ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์นั้นก็ตาม” อย่างไรก็ตาม ประธานยงยุทธ ยอมรับว่า การตัดข้อความดังกล่าวไม่มีผลเปลี่ยนแปลงในประเด็นนี้ เพราะข้อความที่ยังอยู่ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นการตัดถ้อยคำเพื่อให้นุ่มนวลขึ้นเท่านั้น เนื้อหายังเหมือนเดิม คือ รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ

แต่ถ้าถามว่ายุทธศาสตร์ชาติ จะเป็นกรอบบังคับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ พ.ต.ต.ยงยุทธ ย้ำว่า ไม่ได้บังคับ เป็นเหมือนเขียนแผนการบินไว้ให้ ไม่ได้กำหนดว่าต้องทำอย่างไร เพราะเชื่อว่าทุกรัฐบาลก็ต้องการไปถึงเป้าหมาย คือ “ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง เข้มแข็งในประชาคมโลก” เหมือนกัน

ยังคงต้องจับตาทั้งร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ผู้ร่างยืนยันว่าไม่ใช่ คปป.2 และข้อเสนอ “เลือกตั้ง ส.ส.ระดับหนึ่งอย่างมีดุลยภาพ” ว่าจะลงเอยอย่างไร

Leave a comment