ราชภักดิ์โปร่งใส’เซียนอุ๊’แจง20ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160217/222660.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559
ราชภักดิ์โปร่งใส'เซียนอุ๊'แจง20ล้าน

‘พิศิษฐ์’ เผย ‘เซียนอุ๊’ เข้าให้การแล้ว ยันเงินบริจาค 20 ล้าน เป็นค่าปรึกษา 5 โรงหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ ประดิษฐานในอุทยานราชภักดิ์

                      17 ก.พ. 59  ความคืบหน้าการตรวจสอบความโปร่งใสโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งก่อนหน้านี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกมาระบุว่า การตรวจสอบรายรับ-รายจ่าย ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่พบสิ่งผิดปกติ โดยเฉพาะในส่วนของเงินบริจาคกว่า 900 ล้านบาท ทั้งส่วนที่บริจาคผ่านกองทุนสวัสดิการกองทัพบก หรือมูลนิธิราชภักดิ์ เพราะมีใบเสร็จยืนยันการบริจาคชัดเจน เหลือเพียงประเด็นเดียวที่ต้องตรวจสอบคือ การหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์ ว่ามีการเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงหล่อตามที่เป็นข่าวหรือไม่ รวมถึงมีการตั้งราคาจัดซื้อจัดจ้างที่สูงผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกตัว นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ อุ๊ กรุงสยาม เซียนพระที่คอยทำหน้าที่ประสานงานหาเจ้าของโรงหล่อ มาสอบปากคำนั้น
                      ล่าสุด นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง.ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ว่า โชคดีมาก หลังจากที่มีหนังสือเชิญไป ครั้งแรกปฏิเสธมาว่า ไม่อยู่ ไม่สะดวก เกรงเรื่องปัญหาความไม่ปลอดภัยต่างๆ แต่พอถึงเวลาคงได้คิดว่า การมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับองค์กรตรวจสอบน่าจะเป็นทางออกที่จะสร้างความกระจ่างให้แก่สังคม ให้แก่ชีวิตตัวเองด้วย ท่านเดินทางเข้ามาชี้แจงด้วยความสมัครใจเมื่อเดือนมกราคม เราก็เซฟไว้เล็กน้อย ไม่อยากไปประโคมข่าวให้เขากระทบอะไรมาก แต่ข้อเท็จจริงเราได้บันทึกปากคำ บันทึกเสียงในการสอบถามข้อเท็จจริง ท่านก็เต็มใจให้ข้อเท็จจริงทั้งหมด
                      นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า สรุปแล้วเราได้ข้อเท็จริงเกี่ยวกับเงิน 20 ล้านบาท นายวัชรพงศ์ยอมรับว่า เงิน 20 ล้านบาท เป็นคนเอามาบริจาคในนามของ 5 โรงหล่อ ถามว่าเงินที่เอามาจากบัญชีไหน เราก็ตามไปดูบัญชีนั้น นายวัชรพงศ์ก็ยืนยันว่าใช่ เป็นบัญชีของสยามปุระ ซึ่งเป็นโรงหล่อของนายวัชรพงศ์เอง ในทางตรวจสอบเขาก็เปิดเผยแสดงหลักฐานว่า ค่อนข้างจะมีบทบาทในเรื่องการช่วยเหลือ การให้ความคิดเห็น การคุมงาน การแนะนำ การแก้ไขปัญหา ระหว่างงานของ 5 บริษัท เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายวัชรพงศ์บอกว่า เอาเงินมาจากไหนก็เอาเงินมาจากในส่วนที่ 5 โรงหล่อทยอยจ่ายให้นายวัชรพงศ์เป็นค่าใช้จ่าย เป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งเราได้ตรวจสอบดูแล้ว เท่าที่มีการมอบแล้ว 5 โรงหล่อก็ยืนยันไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นนอกเหนือจากนี้ รวมๆ แล้วลักษณะเป็นการร่วมกันลงขันให้ได้ 20 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าที่ปรึกษาให้แก่เซียนอุ๊ แต่ไม่ได้ให้เงินเป็นก้อนครั้งเดียว เป็นการทยอยรับ
                      “เราดูแล้วไม่มีมากกว่านี้ ในทางโรงหล่อที่เป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายตัวนี้ ทาง สตง.ก็ขอตรวจสอบทางบัญชีการเงินเพื่อสอบยันในข้อเท็จจริง ซึ่งช่วงนี้อยู่ระหว่างที่เขาปิดบัญชี เพื่อที่จะไปแสดงค่าใช้จ่ายต่อกรมสรรพากร ซึ่งเราจะติดตามลงบัญชีการเสียภาษีทางด้านสรรพากร ซึ่งโรงหล่อแต่ละแห่งยืนยันว่าเขามีค่าใช้จ่ายด้านโสหุ้ย ไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เขาพอจะเจียดมาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนที่เขาควรจะกำไร ดูแล้วยังไม่ได้เกินอะไรที่เกินความเหมาะสม ในทางบัญชี ในทางสรรพากรก็พอรับได้” นายพิศิษฐ์ กล่าว
                      ถามว่า สรุปว่า 5 โรงหล่อร่วมกันจ่ายเงิน 20 ล้านบาท ให้เซียนอุ๊ ต่อมา 20 ล้านของเซียนอุ๊ได้ไปนั้นประสงค์จะคืนกลับไปที่ 5 โรงหล่อ แต่ไม่รับคืน เอาไปบริจาคให้มูลนิธิ นายพิศิษฐ์กล่าวว่า เอาไปบริจาคให้กองทุนราชภักดิ์ ยังไม่ถึงมูลนิธิ ซึ่งทางกองทุนได้ออกใบเสร็จรับเงินลงรับเข้าบัญชีถูกต้อง
                      นายพิศิษฐ์ตอบต่อข้อถามว่าทำไมต้องคืน 20 ล้าน ทำไม 20 ล้านต้องไปบริจาคกองทุน ว่า เซียนอุ๊บอกว่า หลังจากที่ได้รับเงินไป เอาไปทำวัดส่วนหนึ่ง และได้ข้อคิดจากหลายฝ่ายที่ให้ข้อคิดเห็นว่า ในการช่วยเหลืองานนี้ที่ไปช่วยแก้ปัญหาไม่ควรที่จะไปรับผลประโยชน์ตัวนี้ โรงหล่อแม้เขาจะให้ด้วยความเสน่หา สมัครใจ หรือจะอย่างไรก็ตาม มีวิธีการที่เขาคิดได้ก็คือ เมื่อเห็นมีข้อติติงอย่างนี้แล้วเลยคิดว่า แสดงให้เห็นว่า เจตนาที่ทำไม่ได้หวังผลอะไร และเงินที่เอาไปสร้างวัดอีกวัดหนึ่งก็ไม่เป็นไรเขาก็รับผิดชอบเอง จึงเอาเงินที่รวมๆ แล้วได้รับมา 20 ล้าน มาคืนกองทุนราชภักดิ์
                      นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่ สตง.พยายามพิสูจน์ การทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าที่ปรึกษานั้น มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เราก็มีข้อเท็จจริงที่เซียนอุ๊ยืนยัน จากองค์ละ 70 กว่าล้าน เหลือแค่ 15, 42 ล้าน หรือบางองค์ที่ยากหน่อยก็ 50 ล้าน องค์ไหนหล่อไปแล้วก็มาช่วยกันระดมสมองหาทางให้มันทันเวลา พวกนี้คืองานที่เซียนอุ๊ทำ เขาก็ไม่ได้เป็นนักเลงหัวไม้ที่อยู่ดีๆ มาขู่เอาเงินใคร ดูจากผลงานสยามปุระ ก็มีผลงานอันนี้คือข้อเท็จจริงสุด
                      นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้เหลืออยู่ประเด็นเดียว ที่มาของคำว่า “ค่าหัวคิว” หมายถึงอะไร อย่างไร เหลือสอบอีกนิดเดียวก็จะพร้อมแถลงข้อเท็จจริง มีข้อเท็จจริงที่ต้องถามเพิ่มอีกปากสองปากเท่านั้น
                      ถามว่า รอสอบปากคำอีก 2 นายทหารใช่หรือไม่ นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องรอ เพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน แต่มีคนที่เกี่ยวข้องพอที่จะอ้างอิงได้ และเราก็ไปถามข้อเท็จจริงความชัดเจนเพื่อให้เกิดความสบายใจ ส่วนของ ป.ป.ท.รอสอบนายทหาร 1-2 นาย ที่จะหาข้อเท็จจริง โดยต้องการความชัดเจนว่าเป็นหัวคิวหรือไม่ พูดจากหลักฐานอะไร เราจะได้เข้าไปดูข้อเท็จจริง ตรงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อคลายปมให้ได้ ตอนนี้ก็รอ ป.ป.ท.เพื่อจะแถลงร่วมกัน เรามีหน้าที่สะท้อนความเป็นจริงให้แก่ประชาชน และสื่อมวลชน
                      ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในรายการเดียวกันว่า เมื่อวาน (16 ก.พ.) มีสมาชิกสมาคมสันนิบาต อปท.ประมาณ 40 คน มาถามเรื่องราวและได้เปิดชี้แจงให้รับทราบว่า ขณะนี้ยังไม่เรียบร้อย รอสอบบุคคลอีกคน 2 คน ก็จบ ซึ่งทำหนังสือถึงต้นสังกัดไปเรียบร้อยแล้ว
                      ต่อข้อถามที่ว่า คดีที่ล่าช้าจะทำให้รัฐบาลเสียหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ทุกคนรับทราบหมดแล้ว
                      ส่วนคำถามที่ว่า จริงๆ มันมีแผลและเสียหายไปแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้บอกว่ามันเสียหาย มันเสียตรงไหน ไหนพูดมาว่ามันเสียหายตรงไหน พูดอย่างนี้พูดได้อย่างไร มันไม่มีแผล ยืนยันไม่มีแผลใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนยอมรับกฎหมาย มันมีแผลตรงไหน พูดมา มาหาตนก็ได้ มานั่งคุยกัน ตนไม่เคยมีแผล สอบอย่างชัดเจน
                      “มันไม่เห็นจะเสียหายอะไร มันก็เป็นคดีหนึ่ง คดียุติหรือยัง มีการสอบสวนตลอด ผมก็ยอมรับว่ามันล่าช้า เรื่องอะไรก็บอกประชาชนตลอดเวลา และยืนยันว่า ผมเข้มแข็งในการสอบครั้งนี้ มันไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ยืนยันรัฐบาลนี้ไม่เคยมีแผลจากอุทยานราชภักดิ์” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

Leave a comment