ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160221/222811.html
เวทีสันติภาพโลกถกต้านสงคราม-ก่อการร้าย : เรื่องเล่าข่าวดัง โดยพรรณทิพา จิตราวุฒิพร
ความระหองระแหงที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ทำให้กลิ่นอายสงครามไม่เคยห่างหายจากคาบสมุทรเกาหลี กองกำลังของทั้งสองฝ่ายจ่อประชิดตะเข็บชายแดนพร้อมประจันหน้ากันได้ทุกเมื่อ
อุณหภูมิที่คุกรุ่นสุ่มเสี่ยงที่ไฟสงครามจะลุกโชนในแถบนี้ จึงกลายเป็นประเด็นแรกๆ ที่ถูกหยิบยกมาถกกันในเวทีการประชุม “บทบาทของสื่อในการสร้างสันติภาพโลก” (The role of the media in creating world peace) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 11-16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยสหพันธ์สันติภาพสากล ซึ่งมีตัวแทนจาก 197 ประเทศ ที่เป็นสมาชิก รวมถึงตัวแทนจากประเทศไทย รวมกว่า 500 ราย เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดสันติภาพบนโลกใบนี้
พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา อนุกรรมการศึกษาฝ่ายบริหารคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะกรรมการมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) หนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ระบุว่า มีกลุ่มผู้นำทางศาสนา ผู้นำของรัฐบาล ผู้นำทางรัฐสภาทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ยังดำรงตำแหน่ง รวมถึงตัวแทนสื่อมวลชนจากประเทศสมาชิกเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอแนวคิดในการผลักดันให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นการเบียดเบียนระหว่างกัน ซึ่งเชื่อว่าหากทำได้จะเกิดสันติภาพขึ้น
“ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเคยบาดหมางกัน แต่เมื่อมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งนั้นถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่นำมาสู่สันติภาพ หลังจากนี้ทางสหพันธ์สันติภาพสากลกำลังมีความพยายามในการจัดประชุมเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จะทำอย่างไรจะสะท้อนให้เห็นว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้สามารถอยู่กันอย่างสมานฉันท์ เพื่อสะท้อนไปถึงผู้นำและประชาชนในเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกันก็แสวงหาความร่วมมือประชาชนเกาหลีใต้และประชาชนในภาคพื้นเอเชียให้ช่วยกันสนับสนุน” พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ กล่าว
กรรมการมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (แห่งประเทศไทย) บอกด้วยว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เกิดในระดับรัฐบาลเท่านั้น แต่ในระดับประชาชนไม่ได้มีปัญหา แต่กลับตรงกันข้าม เพราะผู้คนทั้งสองประเทศมีความพยายามที่จะเชื่อมความสัมพันธ์กัน แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะคนของเกาหลีเหนืออยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวด ซึ่งการจัดประชุมในลักษณะนี้จะมีขึ้นทุกปี เพื่อสื่อให้เห็นแนวคิดการรวมพลังให้เกิดขึ้นในสังคมโลก อย่างประเทศเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ จะทำอย่างไรที่จะให้สมาชิกรัฐสภาที่มาร่วมประชุม 50-60 ประเทศ จะได้แสดงจุดยืนและมีมติว่าให้ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ควรดำรงความสัมพันธ์กัน
“เมื่อ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศเกาหลีเหนือมีการยิงจรวดดาวเทียมขึ้นไปในอวกาศศักยภาพที่ติดขีปนาวุธรบนิวเคลียร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคง และเกิดหวาดกลัวแก่ประชาชนในเกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศใกล้เคียง จุดประสงค์การประชุมครั้งนี้ที่เชิญสมาชิกรัฐสภาประเทศต่างๆ มา เชิญตัวแทนสื่อมวลชนแต่ละประเทศรับรู้รับทราบเสนอแนวคิด เพื่อสื่อจะได้สะท้อนไปถึงผู้นำเกาหลีเหนือ ให้ล้มเลิกแนวคิด แต่ถ้าคุณทำเพื่อการวิทยาศาสตร์หรือการสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อพัฒนาประเทศก็ไม่เป็นอะไร แต่อย่าแปรผันในการยิงจรวดมาผลิตเป็นอาวุธนิวเคลียร์” พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ กล่าว
นอกจากปัญหาคาบสมุทรเกาหลีแล้ว การคุกคามของขบวนการก่อการร้ายที่มีผลมาจากการอ้างศาสนาตามความเชื่อที่ผิด ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามภูมิภาคอาเซียนในเวลานี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในเวทีนี้ โดย มาธินี รามาน โปรดิวเซอร์สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มาเลเซีย โดยเธอ อ้างว่า มาเลเซียมีมาตรการในการดำเนินการกับผู้ก่อการร้าย โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1.การจับกุม 2.การฟื้นฟู เข้าโครงการฟื้นฟูของรัฐ และ 3. เตรียมตัวกลับเข้าสู่สังคม คือการทำให้สังคมยอมรับคนเหล่านี้กลับสู่สังคมได้อย่างเป็นคนปกติ ทางการจึงได้หาต้นเหตุขอคนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นพวกกลุ่มรุนแรง โดยเบี่ยงเบนคำสอนของศาสนา ซึ่งความเป็นจริงต้องทำความเข้าใจกับคำสอนในคำภีร์อัลกุรอานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“จีฮัดไม่ได้หมายความว่าไปทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่หมายความว่าเป็นความเพียรพยายามตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ดีที่สุดได้ผลดีที่สุด เพราะการที่ไปฆ่าคน ทำลายสิ่งของ หรือทำให้คนอื่นเสียใจจะได้ขึ้นสวรรค์ ทางประเทศมาเลเซียไม่ได้มีความเชื่อแบบนั้น แต่ทางมาเลเซียจะนำคำสอนที่ถูกต้องให้ความรู้แก่ประชาชน ต่อต้านกลุ่มไอเอส ต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ” ตัวแทนจากประเทศมาเลเซีย กล่าว
ชามาลา มิฮิรี รัตนายาคา นักข่าวจากประเทศศรีลังกา ระบุว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมได้สังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึง 89 คน และผู้นำโลก 2 คน รวมถึงนายราจีฟ คานธี ประธานาธิบดีของอินเดีย เมื่อปี 1993 ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นต้นคิดประดิษฐ์สายเข็มขัดระเบิดพลีชีพ และใช้ผู้หญิงก่อการร้ายโดยการพลีชีพ ประเทศเขาไม่ยอมที่จะยอมแพ้กับกลุ่มคนเหล่านี้
ในฐานะสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวชาวศรีลังการายนี้ บอกว่า ในการรายงานข่าวจะมุ่งเน้นเรื่องจริยธรรมของสื่อมวลชน โดยจะไม่รายงานวิธีการสืบสวนของตำรวจออกสื่อ เพราะจะทำให้ผู้ก่อการร้ายรู้ระบบการสืบสวน ซึ่งจะทำให้คนร้ายปรับเปลี่ยนวิธีการก่อการร้ายที่พัฒนาขึ้น ส่งผลให้ตำรวจทำงานได้ยากขึ้นด้วย
ในการประชุมครั้งนี้นอกจากจะมีการหยิบยกปัญหาความรุนแรงระหว่างประเทศมาพูดคุยแล้ว ยังมีการพูดคุยถึงปัญหาภายในประเทศด้วย ซึ่งหนึ่งในปัญหานั้นคือความรุนแรงภายในครอบครัวที่ระยะหลังพบว่ามีปัญหาค่อนข้างมากในแทบทุกประเทศ โดยในไทยมีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวนี้นำไปสู่การนอกใจคู่ครอง และการหย่าร้างในที่สุด ไม่ใช่เฉพาะคู่สามีภรรยาเท่านั้น ปัญหานี้ยังนำไปสู่การขาดความอบอุ่นในเด็กและเยาวชน ลุกลามไปสู่การชิงสุกก่อนห่าม เพราะขาดการดูแลที่ดี ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมาหลายด้าน
พล.อ.เทอดศักดิ์ มารมย์ ประธานมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) หรือ ยูพีเอฟ กล่าวว่า เป้าหมายขององค์กรต้องการสร้างสันติภาพและความสงบสุขให้แก่ประชาชน โดยจุดเริ่มต้นของโครงการนี้เริ่มจากครอบครัวขยายต่อยังชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางจังหวัดเป็นอย่างดี จึงได้ให้ความรู้ พร้อมกับนำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ มายึดเหนี่ยวจิตใจให้คนเกิดความรักกัน
ก่อนหน้านี้มูลนิธิได้จัดกิจกรรมขึ้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยให้คู่สมรสทั้งที่แต่งงานกันมา 50 ปี หรือแต่งงานได้ไม่นานเข้าไปฟื้นฟูความรัก ทั้งหมด 1,000 คู่รัก ซึ่งคู่รักทั้งหมดเมื่อเข้าพิธีแล้วก็จะรู้สึกเกิดความรักกันมากขึ้น จากนั้นจึงได้ขึ้นภาคเหนือและภาคอีสาน ในการทำกิจกรรมเดียวกัน ขณะนี้ดำเนินการมาแล้วกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศและมีเป้าหมายไปให้ครบ 77 จังหวัด รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพมหานครในหลายเขตที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ถือเป็นทางช่วยเหลือสถาบันครอบครัวของรัฐบาลในทางอ้อม ซึ่งประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีพ ดำรงชีวิตในครอบครัวให้มีความอบอุ่น เข้มแข็ง เมื่อครอบครัวเข้มแข็งจะทำให้ชุมชน เมือง และประเทศชาติจะมีความเข้มแข็งต่อไป
“หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา แนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในครอบครัวต่างจังหวัดให้สามีภรรยารักเดียวใจเดียว ลูกไม่ชิงสุกก่อนห่าม เพื่อให้เขามีความพร้อมในการสร้างครอบครัว อันนี้คือกิจกรรมที่เข้าไปร่วม ในกิจกรรมของมูลนิธิก็ทำให้สังคมดีขึ้น และผลที่ตามมาในหลายด้านก็ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน” ประธานมูลนิธิสหพันธ์สันติภาพสากล (ประเทศไทย) กล่าว
