ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160217/222601.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559
โจทย์รัฐธรรมนูญที่สวนทางความต้องการ : ขยายปมร้อน โดย… ขนิษฐา เทพจร
การทำงานของ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” (กรธ.) ที่มี “อ.มีชัย ฤชุพันธุ์” เป็นประธาน ระยะ 45 วันต่อจากนี้ไปคือ การนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชน และภาคส่วนต่างๆ รวมถึงองค์กรสำคัญ คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.), คณะรัฐมนตรี (ครม.), สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาพิจารณาเพื่อปรับปรุงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับเบื้องต้น เพื่อเตรียมพร้อมนำร่างรัฐธรรมนูญไปสู่การทำประชามติ
แต่ยอมรับว่าความคิดความเห็นและข้อเรียกร้อง โดยเฉพาะภาคประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองและระบบปกครองใหม่ ตามที่กลไกในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับของกรธ. กำหนดนั้น มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก
จนถึงขั้นที่ “กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” บางคนออกปากว่า ข้อเสนอที่ส่งมานั้น ดูเหมือนคนส่งมาไม่เข้าใจว่าโจทย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยคืออะไร และส่งความเห็นมาคล้ายกับเล่นเกมเติมคำในช่องว่าง ทำให้รัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เป็นกติการะดับประเทศ กลายเป็นสัตว์ประหลาด
นั่นอาจแปลความได้ว่า…ประชาชนยังไม่เข้าใจในโจทย์ของ กรธ. ที่มีต่อการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และแปลความได้อีกอย่างว่า “กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” เข้าไม่ถึงความคาดหวังของประชาชน ที่อยากให้ในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นกติกาการปกครอง และจัดระเบียบโครงสร้างทางสังคมที่เป็นมาตรฐาน มีความเสมอภาค รวมถึงแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เป็นช่องว่างทำให้กลุ่มทุนบางจำพวกและกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐเข้ามาแสวงหาประโยชน์ในทางที่มิชอบ ชนิดที่เรียกว่า ทำนาบนหลังคน!!
หากพิเคราะห์โจทย์สำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้น ซึ่ง “ประธานกรธ.” เน้นย้ำว่า เพื่อปราบโกง ด้วยการสร้างมาตรการและกลไกป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเข้าสู่แวดวงการเมือง เพื่อวางรากฐานของการเมืองการปกครองที่เป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล และการได้ผู้แทนปวงชนที่มีจริยธรรม เพื่อให้การบริหารประเทศนั้นตั้งมั่นบนผลประโยชน์โดยรวมของคนไทยและประเทศชาติ
พร้อมกับวางมาตรการพิเศษในร่างรัฐธรรมนูญ คือ “หมวดหน้าที่ของรัฐ” เพื่อกำกับให้รัฐบาล-ราชการ-หน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงออกแบบแนวนโยบายแห่งรัฐ ให้เป็นกรอบการบริหารราชการแผ่นดินระยะยาว ขณะเดียวกันได้เพิ่มความเข้มแข็งให้แก่องค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินนโยบายทางการบริหารเพื่อเป็นกลไกถ่วงดุลการใช้อำนาจ
หากมองอย่างธรรมดาบนความต้องการของภาคประชาชนผ่านข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญ คือ ให้เติมประเด็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 บัญญัติไว้ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย โดยเฉพาะส่วน 12 สิทธิชุมชน ที่ให้บทบาทแก่ชุมชน ชุมชนท้องถิ่น หรือชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ได้มีส่วนร่วมกับรัฐ ด้านการจัดการ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมถึงจัดการความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน เพื่อหวังให้ชุมชนดำรงชีพได้อย่างปกติสุข พร้อมกำหนดเงื่อนไขให้รัฐต้องรับฟังความเห็นของคนในชุมชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ขณะเดียวกันเมื่อรัฐได้ละเมิดยังให้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้การคุ้มครอง หากพบว่าหน่วยงานของรัฐละเมิดสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ดังนั้นเมื่อสังเคราะห์จากโจทย์ของ “กรธ.” กับความต้องการของภาคประชาชน ทั้ง 2 รายละเอียด พบว่า ในสายตาของเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่มีบทบาทต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมกับรัฐ สะท้อนออกมาได้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสร้างระบบการปกครองที่รัฐเป็นใหญ่ ส่วนบทบาทและสิทธิของประชาชนถูกจำกัด เพราะเนื้อความของบทบัญญัติถูกตีความให้รัฐต้องเป็นเบอร์หนึ่ง แทนที่จะให้ประชาชนเป็นแถวหน้าในการพัฒนาประเทศ จึงอาจสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา
ขณะที่ในมุมคิดของผู้ทำร่างรัฐธรรมนูญ คือ ประเด็นสิทธิและเสรีภาพ แม้จะตบแต่งบทบัญญัติให้ผิดแผกไปจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 แต่ยืนยันได้ว่าเนื้อหาไม่มีผิดเพี้ยนหรือทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนลดลงไปจากเดิม แต่เมื่อทางภาคประชาชนกังวลเหมือนคนนอนหนาวที่ไม่มีผ้าห่มให้ความอบอุ่น ก็จะมอบผ้าห่มให้ไป เพื่อคลายความกังวลใจ
ดังนั้นคำตอบของ “กรธ.” แม้จะให้บางประเด็นเป็นไปตามความต้องการของภาคประชาชนที่ยื่นข้อเรียกร้อง แต่อนาคตอีกไม่กี่วันข้างหน้า ยังไม่รู้ชัดว่าจะเป็นคำตอบที่ตรงกับความต้องการของประชาชนหรือไม่
เพราะต้องยอมรับว่าการทำงานของ กรธ. ถูกล็อกไว้ตามหมุดที่ปักไว้ตามมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่มีหัวใจสำคัญ คือ แก้ปัญหาทางการเมือง แต่ไม่ใช่เป็นแนวทางเพื่อแก้ปัญหาให้บ้านเมือง
