ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160229/223270.html
จับตาภาคประชา‘ชน’ : ขยายปมร้อน โดยจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง สำนักข่าวเนชั่น
ช่วงนี้ถ้าดูความเคลื่อนไหวของ “ภาคประชาชน” นับวันก็ได้เห็นปฏิกิริยาไม่พอใจ ไม่ค่อยจะแฮปปี้กับหลายเรื่อง และนับวันจะยิ่งสะสมความไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังตั้งระเบิดเวลา ที่รอถึงเวลาระเบิดเท่านั้น
เริ่มจากฟากมุมของการคัดค้านคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3 และ 4 เกี่ยวกับการยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองจาก “เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่กลุ่มนี้เป็นการรวมกลุ่มกันของภาคประชาชนกว่า 100 เครือข่ายที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งคสช.ทั้งสองฉบับ โดยหัวหอกของเครือข่าย อาทิ กลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินและกลุ่มเชียงรากใหญ่ จ.ปทุมธานี ที่ต่อสู้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอยู่ในพื้นที่
ซึ่งคนกลุ่มนี้เดินทางมานับร้อยชีวิตที่ศูนย์บริการประชาชน ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล และได้ออกแถลงการณ์ข้อเรียกร้องจำนวน 4 ข้อ ถึง “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.” เพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งคสช.ทั้ง 2 ฉบับทันที โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องระบุเนื้อหาว่า
“คสช.กลายเป็นผู้สร้างเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งภายใต้คำสั่งยกเลิกผังเมืองซึ่งเครือข่ายไม่อยากเห็นประเทศเดินไปสู่หายนะและความขัดแย้งครั้งใหม่จากเงื่อนไขที่คสช.สร้างขึ้น จากการยกเลิกกติกา กลไกและกฎหมาย เป็นการทำลายเกราะป้องกันที่สังคมสร้างมาหลายสิบปี จึงเหลือเพียงปราการด่านสุดท้ายคือการลุกขึ้นสู้ของประชาชน ความขัดแย้ง การนองเลือดจะเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่หลังจากนี้ ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกขึ้นปกป้องบ้านตัวเอง”
ซึ่งเป็นแถลงการณ์ที่เป็นสัญญาณเดินหน้าชนของเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะหลังจากการยื่นหนังสือเสร็จแล้วก็ไม่ได้เดินทางกลับทันทีได้ทำการปักหลักชุมนุมแบบสงบ และพักค้างแรมกันอยู่ใกล้ๆ ทำเนียบรัฐบาลภายในวัดโสมนัสฯ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อเกาะติดความเคลื่อนไหวในการแก้ปัญหาในสิ่งที่ได้เรียกร้อง และอาจจะมีปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์อะไรให้เห็นเป็นระยะ
และในส่วนประเด็นของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ภาคประชาชนวิจารณ์ผ่านเวทีเสวนา “เมื่อสิทธิชุมชนในรัฐธรรมนูญหายไป ชาวบ้านจะพึ่งพาใคร?” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ที่เชิญภาคประชาชนหลายเครือข่ายมาร่วมงาน ที่เห็นตรงกันว่า “สิทธิของชุมชนและประชาชน” ในการปกป้องชุมชนของตัวเองได้หายไปจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะเมื่อนำไปเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ถือว่าให้สิทธิในการต่อสู้มากกว่า
“นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ผู้ประสานงานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน” บอกว่าฝ่ายกรธ.อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า เรื่องดังกล่าวเขียนอยู่ในร่างฯ นี้ ที่กำหนดให้ชุมชนเข้าร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชุมชน แต่ถามกลับว่าที่ผ่านมาชุมชนเข้าร่วมกับอปท.ได้แค่ไหน ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะให้ชุมชนใช้สิทธิ์ตัวเองแต่ต้องใช้ผ่านอปท. ที่ประชาชนจะกลายเป็นผู้ถูกปกครองตลอดเวลา ซึ่งต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และ2550 ที่ให้เราร่วมปกป้องคุ้มครองดูแลชุมชนของตัวเอง แต่รัฐมีหน้าที่เพียงต้องเข้ามาส่งเสริมบทบาทหน้าที่เท่านั้น
“แต่ปรากฏว่าในร่างฯ นี้ กระบวนการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมหายไปทุกมาตรา คือ มาตรา 56 57 58 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ในเรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน การตัดสินใจให้ความเห็นในการที่รัฐเปิดรับฟังความเห็นก็หายไป กลายเป็นว่านี่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้ข้อมูลหรือไม่ หรือเข้ามาจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ดังนั้น ถ้าร่างรธน.ฉบับนี้ถูกประกาศใช้ทั้งหมดได้รับการรับรองประชามติ น่ากลัวมากในการที่ประชาชนจะออกใช้สิทธิ์ใช้เสียง หากบุคคลเหล่านั้นจะลุกขึ้นมาปกป้อง เขามีสิทธิ์ แต่เขาจะใช้สิทธิ์อะไร อะไรคือสิ่งที่ก่อตั้งสิทธิ์ของประชาชนนับจากนี้ไป
ตรงนี้ยังไม่นับถึงอารมณ์ไม่พอใจกับผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ที่มีความเป็นไปได้ในการสร้าง และยังมีเรื่องการจะเดินหน้าสร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่เคยมีความขัดแย้งมาแล้ว ที่จะเพิ่มอารมณ์ความไม่พอใจมากขึ้น
