ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160224/222996.html
‘ทักษิณ’เปิดเกมเจรจา‘อะไร-กับใคร’? : ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
“เวลานี้ผมขอเสนอให้มีการพูดคุย ผมพร้อมแล้ว โดยขอแค่เพียงเห็นประเทศเดินไปข้างหน้าคืนประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีต่อสื่อต่างชาติ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า คำให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ยึดกุมหน้าสื่อทุกประเภท ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อออนไลน์ มุมหนึ่งเป็นเพราะเป็นคำสัมภาษณ์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ถูกมองเป็นเบอร์หนึ่งของคู่ขัดแย้ง อีกมุมหนึ่ง เพราะเป็นการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อระดับโลก และอีกมุมหนึ่งเป็นเพราะเขาพูดชัดๆ ว่า พร้อมจะเปิดการเจรจากับอีกขั้วความขัดแย้ง
ทำให้ปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปในสังคม และแน่นอนว่า ข้อเสนอผ่านสื่อเช่นนี้ ถูกดาหน้าปฏิเสธจากฝั่งผู้มีอำนาจในปัจจุบัน
คำถามคือ “ทักษิณ” หวังแค่ไหน และหวัังอะไรกับการขอเจรจาครั้งนี้ เราคงไม่อาจฟันธงได้ 100% ว่าเขาจะอยากเจรจาเพื่อหาทางยุติเรื่องราวที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อได้จริงหรือไม่ แต่หากดูจากเรื่องราวที่ผ่านมาก็พอจะทำให้เห็นอะไรบางอย่างของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือ หาก “ทักษิณ” ต้องการให้เกิดการเจรจาจริง เขากำลังจะเจรจาอะไร เจรจาเพื่อให้ผู้มีอำนาจเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างนั้นหรือ หรือเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง หรือเจรจาเพื่อหาทางออกให้แก่บ้านเมือง หรือเจรจาเพื่อหาทางออกให้ตัวเขาเอง หรือเจรจาเพื่อหาทางออกให้คนในครอบครัว หรือเจรจาเพื่อให้น้องสาวอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หลุดพ้นจากบ่วงคดี ที่ตอนนี้เธอต้องเผชิญทั้งคดีแพ่งและอาญา
นี่คือสิ่งที่ไม่ใช่แค่เราต้องตอบ แต่เป็นคำถามที่ “ทักษิณ” ต้องตอบเช่นเดียวกันว่า ถ้ามีการเจรจาจริงๆ เขาต้องการเจรจาเรื่องอะไรเป็นหลักกันแน่
ประการต่อมาคือ หากมีการเจรจาตกลง เขาจะเอาอะไรในมือไปเจรจาต่อรอง เพราะการจะต่อรองหรือพูดคุยเพื่อหาข้อยุติของคู่ขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายต้องมีสถานะที่ทัดเทียม และมีข้อเสนอในมือที่เรียกได้ว่าอีกฝั่งต้องการเป็นอย่างมาก
ในวันที่เขามีอำนาจอยู่เต็มมือ หรือพลังมวลชนที่คอยหนุนหลัง เขายังต่อรองกับอีกฝั่งไม่สำเร็จ แล้ววันนี้เขายังจะสามารถต่อรองอะไรได้อีกหรือ เพราะแม้เขาจะมีมวลชนในมืออยู่บ้าง แต่ความเคลื่อนไหวก็ถูกจำกัด หรือเขาเชื่อว่า เมื่อถึงวันเลือกตั้งพรรคที่เขาสนับสนุนจะชนะการเลือกตั้ง แต่นั่นก็ยังเป็นวันข้างหน้า ซึ่งยังไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะชนะจริงๆ หรือแม้แต่หากชนะแล้วจะมีอำนาจอะไรเมื่อกติกาที่เขียนไว้ล็อกตายมิให้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรได้ แม้แต่แก้รัฐธรรมนูญก็อาจเป็นเรื่องยากเหลือล้น
คำถามอีกประการคือ ถ้าหากเขามองตัวเขาเป็นแกนหลักของหนึ่งขั้วความขัดแย้ง แล้วอีกข้างหนึ่งของเชือกที่เขาคิดจะเจรจาด้วยเป็นใคร เป็น “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของอำนาจรัฐในขณะนี้หรือไม่ หรือเป็น คสช.ทั้งคณะ ที่กำลังบริหารบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ หรือจะมีกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังอีก และการเจรจากับคนเป็นกลุ่มนั้น ย่อมยากกว่าการเจรจากับผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว
นอกจากนี้ สิ่งที่ “ทักษิณ” พึงนำมาคิดคือ กี่ครั้งมาแล้วที่เขาเจรจา หรือยื่นข้อต่อรองแล้วปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่คิด จนหลายครั้งกลุ่มที่อยู่ใกล้เคียงกับเขามักจะคิดว่าเขาถูกหักหลัง หากเขายังคิดเจรจาอีกก็อาจต้องดูว่า เขาอยู่ในข่ายผู้เสพความเจ็บปวดหรือไม่ เนื่องจากจะเจ็บอีกกี่ครั้งก็ไม่จำ
จากทั้งหมดเราจึงเชื่อได้ว่า การออกมาของเขาในครั้งนี้ต่อสื่อนอก จึงเป็นเพียงการเกาะเพื่อไม่ให้ตกกระแสเท่านั้น
วันนี้เมื่อร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตยถูกเปิดออกมา กอปรกับสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะดิ่งเหว เขาจึงเลือกที่จะเกาะกระแสออกมาในขณะนี้ เพื่อช่วงชิงพื้นที่ และเตรียมการเคลื่อนไหวในอนาคต เผื่อวันข้างหน้าที่อำนาจปัจจุบันอ่อนแรงลง และอาจจะคาบเกี่ยวไปถึงความพยายามช่วยเหลือพี่น้องที่ติดบ่วงคดีด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่ “ทักษิณ” อาจจะลืมไปคือ วันนี้เขาไม่ได้อยู่ในสถานะแกนนำอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำให้มวลชนเจ็บช้ำมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง หรือสภาพนิ่งเฉยเมื่อรัฐบาลเลือกตั้งถูกรัฐประหาร
เขาอาจจะอยู่ในสถานะสำคัญตัวผิด คิดว่าเป็นแกนกลางของทุกสิ่ง แต่ตอนนี้ประชาชนได้ก้าวข้ามเขาไปมาก และพร้อมที่จะขับเคลื่อนด้วยตัวเองหากมีอะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยไม่ต้องให้มือที่เปื้อนผลประโยชน์มาตักตวงเอาความได้เปรียบไปใช้เพื่อตัวเองอีกต่อไป
ทั้ง “ทักษิณ” และ “ผู้มีอำนาจ” พึงเข้าใจถึงความจริงข้อนี้ให้จงดี
