ผลศึกษาอพท.อีกหนึ่งก้าว‘กระเช้าลอยฟ้า’ภูกระดึง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160225/223074.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559
ผลศึกษาอพท.อีกหนึ่งก้าว‘กระเช้าลอยฟ้า’ภูกระดึง?

ผลศึกษาอพท.อีกหนึ่งก้าว‘กระเช้าลอยฟ้า’ภูกระดึง? : จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรังรายงาน

           ในที่สุดโครงการจัดสร้าง “กระเช้าขึ้นภูกระดึง” ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. ได้ถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 โดยการนำเสนอของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี รายงานให้ ครม.รับทราบถึงผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ตามที่ ครม.เคยมีมติให้ศึกษาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555

ทั้งนี้ อพท.ได้จัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษาความเป็นไปได้ฯ นำโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ บริษัท แกรนด์เทค จำกัด และบริษัท ไทยซิสเทมเอนไว แอนด์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด วงเงินงบประมาณปี 2557 จำนวน 23 ล้านบาท โดยผลการศึกษากำหนดทางเลือกของแนวเส้นทางและตำแหน่งที่ตั้งของสถานีกระเช้าไฟฟ้าสอดคล้องกับข้อพิจารณาของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548 ซึ่งเห็นว่าแนวกระเช้าไฟฟ้าต้องไม่มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของทางเดินเท้าและมุมมองธรรมชาติของภูกระดึง

คณะทำงานมีการนำทางเลือกดังกล่าวเสนอในที่ประชุมสัมมนาใน อ.ภูกระดึง และได้รับการยอมรับจากประชาชนในท้องถิ่นแล้ว โดยค่าก่อสร้างรวมประมาณ 633.89 ล้านบาท โดยกระเช้านี้ความยาวในทางราบมีระยะทาง 4.4 กิโลเมตร โดยมีสถานีต้นทางและปลายทางอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งสถานีต้นทางอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐานไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 3.5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่พิกัด UTM WGS 84N = 1,865,100 E = 802,800 ที่ระดับความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 260 เมตร ขณะที่สถานีปลายทางตั้งอยู่ห่างจากบริเวณหลังแปไปทางทิศตะวันตกประมาณ 600 เมตร ตั้งอยู่ที่พิกัด N = 1,867,055 E = 798,845 ที่ระดับความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,255 เมตร และมีระยะจากสถานีปลายทางไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 3.7 กิโลเมตร

ส่วนการออกแบบเป็นไปตามมาตรฐานสากลและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การก่อสร้างจะใช้การประกอบชิ้นส่วนจากพื้นที่นอกเขตป่าไม้และขนส่งไปติดตั้งทางอากาศ ไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่ตามแนวเส้นทางวางสายเคเบิล ความลาดชันเฉลี่ยของแนวกระเช้าเท่ากับร้อยละ 27 และมีเสารองรับจำนวน 7 ต้น โดยระบบกระเช้าไฟฟ้าที่เหมาะสมคือ ระบบของกระเช้าไฟฟ้าแบบเก๋ง (Mono Cable Detachable Gondola : MDG) ชนิด 8 ที่นั่ง ที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานทั้งด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิคจาก Organization Transport a Fune : O.I.T.A.F ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ สามารถรับแรงลมได้ 20 เมตรต่อวินาที ซึ่งมากกว่าแรงลมเฉลี่ยบริเวณรอบๆ ภูกระดึง ที่มีค่าความเร็วลมเฉลี่ยที่ระดับความสูง 90 เมตร ต่ำกว่า 5 เมตรต่อวินาที หรือ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ผลการศึกษารูปแบบการลงทุนของโครงการและทางเลือกที่เหมาะสม ระบุว่า เนื่องจากมีความซับซ้อนในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีข้อจำกัดทางด้านกฎหมายในการดำเนินงานก่อสร้างในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 ในกรณีที่หากจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ตามมาตรา 58 รูปแบบที่รัฐ คือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับ อพท. ในการดำเนินการจัดหางบประมาณ อาศัยอำนาจตามมาตรา 16 (3) มาตรา 19 และมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ในการว่าจ้างเอกชนมารับจ้างก่อสร้างตามรูปแบบและรายการที่รัฐกำหนด

“เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องอาศัยเทคนิค และเทคโนโลยีเฉพาะทางในการบริหารจัดการและบำรุงรักษา ดังนั้นการว่าจ้างเอกชนให้เป็นผู้ดำเนินการเดินกระเช้าไฟฟ้าจะมีความเหมาะสมและคล่องตัวกว่าในการปฏิบัติงานการกำกับดูแลของรัฐ ดังนั้นรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดคือ PSC–Gross Cost หรือ PSC–Modified Gross Cost โดยกรมอุทยานฯ ดำเนินการดังนี้ 1.ลงทุนงานโยธาและระบบกระเช้าไฟฟ้ารวมทั้งตู้กระเช้า (Gondola) โดยว่าจ้างเอกชนให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง 2.ว่าจ้างเอกชน เป็นผู้รับจ้างเดินกระเช้าไฟฟ้าและบำรุงรักษา (O&M) และ 3.เป็นผู้รับรายได้ทั้งหมดและจ่ายค่าจ้างให้เอกชนตามอัตราที่ตกลงกัน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวกันกับค่าโดยสารกระเช้าฯ หรือมีส่วนเพิ่มหรือลดตามจำนวนผู้โดยสาร”

ส่วนประเด็นการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ระบุว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในขั้นรายละเอียด สำหรับการพัฒนาโครงการ เนื่องจากตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติและมีแนวเส้นทางบางส่วนอยู่ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 โดยผลการศึกษาแยกออกเป็น 5 ประเด็น คือ

1.ชั้นคุณภาพของลุ่มน้ำ ระบุว่า พื้นที่ที่ต้องใช้เพื่อการก่อสร้างโครงการ ประกอบด้วย สถานีต้นทางตั้งอยู่ในคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 4 เป็นพื้นที่ 2.28 ไร่ สถานีปลายทาง ตั้งอยู่ในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A เป็นพื้นที่ 1.06 ไร่ พื้นที่ก่อสร้างเสารวม 7 ต้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A เป็นพื้นที่ 0.19 ไร่ และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 4 เป็นพื้นที่ 0.03 ไร่ คิดเป็นพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 รวมทั้งสิ้นร้อยละ 0.000804 และชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 4 ร้อยละ 0.00981 และคิดเป็นร้อยละ 0.00164 ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 และชั้น 4 น้อยมาก ขนาดของพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีผลต่อการรับน้ำและอำนวยน้ำในระบบลุ่มน้ำ

2.การสูญเสียพื้นที่ป่า ระบุว่า ในการก่อสร้างทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่ปกคลุมบริเวณที่ก่อสร้างสถานีต้นทาง สถานีปลายทาง และจุดที่วางเสากระเช้า 5,700 ตารางเมตร โดยการดำเนินโครงการจะไม่มีการตัดต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีจำนวนไม้ที่จะต้องสูญเสียประกอบด้วย ลูกไม้ 394 ต้น กล้าไม้ 1,512 ต้น และไม้ไผ่ 66 ลำ

3.เขตแหล่งอาศัยหรือหากินที่สำคัญของสัตว์ป่า ระบุว่า พื้นที่โครงการไม่อยู่ในเขตแหล่งอาศัยหรือหากินที่สำคัญของสัตว์ป่า เป็นเพียงพื้นที่ที่อาจเป็นเส้นทางเดินตามธรรมชาติ โดยอาจรบกวนกิจกรรมในรอบวันของสัตว์ป่าทั้งกิจกรรมการออกหาอาหาร การทำรัง วางไข่ และเลี้ยงดูลูกอ่อนของสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ตามเรือนยอดไม้ ซึ่งกิจกรรมของโครงการจะจำกัดเฉพาะแนวของกระเช้า ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่ในการดูแลอย่างเข้มงวด ผลกระทบดังกล่าวจึงอยู่ในระดับต่ำ

4.ผู้มีรายได้เดิม (ลูกหาบและร้านค้า) รายงานระบุว่า ผู้ที่มีรายได้จากกิจกรรมการท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ได้แก่ ลูกหาบ 337 คน และร้านค้า 119 ร้าน ได้มีการกำหนดแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงอาชีพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากลูกหาบและผู้ประกอบการ โดยได้มีการหารือร่วมกันในกระบวนการมีส่วนร่วมโครงการ

5.ทัศนียภาพ ระบุว่า แนวก่อสร้างเสากระเช้าไฟฟ้าจะไม่สามารถมองเห็นได้จากเส้นทางเดินท่องเที่ยวและไม่สามารถมองเห็นได้จากถนนสายหลักที่เข้าสู่ภูกระดึงในปัจจุบัน รวมทั้งโครงสร้างรองรับสายเคเบิล ตัวกระเช้า สถานีขึ้น-ลง ได้รับการออกแบบให้มีรูปแบบที่เรียบง่ายกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ก่อให้เกิดผลกระทบด้านบวก ด้านทัศนียภาพ เป็นการเปิดมุมมองใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่นั่งกระเช้าขึ้นภูกระดึง นอกจากนี้ยังช่วยลดผลกระทบทางด้านทัศนียภาพจากขยะได้ด้วย

ในส่วนของการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมของประชาชน มีการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมฯ ในระดับต่างๆ ครอบคลุมทั้งพื้นที่กว่า 30 เวที มีการรับฟังความคิดเห็นตามแนวทางของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548 รวม 3 ครั้ง การจัดประชุมกลุ่มย่อย 4 ครั้ง รวมทั้งการจัดการประชุมวิชาการเสนอข้อมูลสรุปผลการศึกษาสำหรับวิชาการและนักอนุรักษ์ที่กรุงเทพฯ การสัมภาษณ์เชิงลึกหน่วยงาน บุคคลที่เกี่ยวข้อง และมีการสำหรับทัศนคติต่อโครงการทางเว็บไซต์รวมมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 6,142 คน

ทั้งนี้ ในส่วนของการศึกษาความเหมาะสม (Feasibility Study) ได้สรุปผลการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนก่อสร้างประมาณการผลประโยชน์และต้นทุนของโครงการในระยะเวลาดำเนินการ 30 ปี โดยด้านการเงิน มีความคุ้มค่าในการลงทุนในกรณีที่อัตราล่วนลดเท่ากับร้อยละ 7 และ IRR เท่ากับร้อยละ 7.16 ส่วนเศรษฐศาสตร์มีความคุ้มค่าในการลงทุนทุกกรณี โดยมี IRR เท่ากับร้อยละ 17.62 โดยความคุ้มค่าส่วนใหญ่อยู่ในรูปของผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน การสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ จ.เลย และพื้นที่โดยรอบ รวมถึงโอกาสให้เกิดแรงงานคืนถิ่น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติ

กระนั้นก็ดี ยังมีการศึกษารูปแบบการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ด้วยรูปแบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ภายใต้ขีดความสามารถที่รองรับนักท่องเที่ยวบนยอดภูกระดึงโดยไม่กระทบสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการจำกัดนักท่องเที่ยวในการพักแรมต่อคืนบนยอดภูกระดึง ทั้งผู้เดินทางด้วยเท้าและผู้ใช้บริการกระเช้าไฟฟ้าให้มีจำนวนไม่เกิน 5,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน

นอกจากนี้จะมีการกำหนดเส้นทางการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับวิธีการเดินทางขึ้นและระยะเวลาที่อยู่บนยอดภูกระดึง จะมีการจำกัดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวให้มีช่วงปิดการขึ้นให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว รวมถึงห้ามก่อสร้างอาคารที่พักในลักษณะถาวรเพิ่มขึ้น ห้ามขยายพื้นที่ส่วนบริเวณนักท่องเที่ยวของศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางออกไปจากเดิม ไม่มีการพัฒนาขยายเส้นทางถนนให้กว้างขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่จะซ่อมบำรุงให้เดินทางอย่างปลอดภัย ห้ามพัฒนาร้านค้าหรือบริการในลักษณะของการให้สัมปทาน จะมีเพียงการให้สิทธิ์แก่ร้านค้าเดิมที่ได้รับการอนุญาตอยู่แล้ว หรือเพื่อการสวัสดิการของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง รวมทั้งจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของระบบบำบัดน้ำเสียให้ดีขึ้น

กว่า 30 ปีที่มีความพยายามผลักดันโครงการก่อสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ เนื่องจากที่ผ่านมายังติดปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ล่าสุดภายใต้การดำเนินงานของ อพท. ได้เลือกพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดบริการนักท่องเที่ยวเพียง 3 กิโลเมตร และใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศมาเป็นรูปแบบในการก่อสร้าง

นับเป็นก้าวสำคัญที่สังคมต้องจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป…!!!

Leave a comment