‘พานทองแท้’ อีกปม ‘ทักษิณ’ ออกโรงวิพากษ์ร่างรธน.-รัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160223/222940.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559
'พานทองแท้' อีกปม 'ทักษิณ' ออกโรงวิพากษ์ร่างรธน.-รัฐบาล

‘พานทองแท้’ อีกปม ‘ทักษิณ’ ออกโรงวิพากษ์ร่างรธน.-รัฐบาล : โดย…ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย สำนักข่าวเนชั่น

                      กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกสื่อต่างประเทศวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีี และเรียกร้องการเจรจากับรัฐบาลนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากการได้เห็นข้อเสนอแนะของคณะรัฐมนตรีต่อร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้มีกลไกพิเศษรองรับในระยะแรกช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมทั้ง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ความเห็นชอบและเสนอต่อรัฐบาลแล้ว
                      ยังมีเหตุผลมาจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว กำลังถูกดำเนินคดีอาญา ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและได้มีการไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สองไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา
                      ทั้งนี้คดีงวดเข้ามาทุกขณะและศาลอาจมีการตัดสินภายในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2560  รวมทั้งคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจต้องชดใช้นับแสนล้านบาท
                      ก่อนหน้านี้ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายฉบับ รวมถึงการเปิดบ้านให้สื่อต่างประเทศเข้าเยี่ยมแปลงผัก ซึ่งแน่นอนมีการตั้งข้อสังเกตว่าเธอจงใจที่จะให้สัมภาษณ์เฉพาะสื่อต่างประเทศเท่านั้น จากความเคลื่อนไหวให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศของอดีตนายกฯสองพี่น้อง จึงทำให้ถูกตั้งคำถามว่านี่คือ ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” หรือไม่
                      ขณะเดียวกัน ยังมีคดีสำคัญอีกคดีหนึ่ง ที่อาจเป็นปมเหตุให้ “ทักษิณ” ต้องออกโรงนิ่งเฉย อยู่ไม่ได้อีกต่อไป  คือ  คดีฟอกเงินซึ่งเป็นความผิดอาญาเกี่ยวเนื่องกับคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้แก่กลุ่มบริษัทในเครือกฤษดามหานคร โดยคดีดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอและได้มีการติดต่อเรียกนายพานทองแท้  ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ เข้าให้ปากคำ เพื่อให้ชี้แจงเหตุผลในการรับเช็คจากบุตรชายของผู้บริหารกฤษดามหานคร แต่นายพานทองแท้ได้ขอเลื่อนนัดให้ปากคำออกไป
                      ดังนั้น จึงต้องมอง “ย้อนรอย” ไปถึงเมื่อครั้งที่ี่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ อดีตประธานบอร์ดบริหารธนาคารกรุงไทย และนายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย เป็นเวลา 18 ปี จากการอนุมัติสินเชื่อกว่า 8 พันล้านให้แก่บริษัทในเครือของบริษัทกฤษดามหานคร พร้อมให้ร่วมกันชดใช้เงินคืนให้แก่ธนาคารกรุงไทย
                      ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ และกลุ่มเอกชนที่ทำการขอสินเชื่อให้จำคุกคนละ 12 ปี โดยคดีนี้ มีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 แต่ศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีในส่วนของนายทักษิณไว้ชั่วคราว เนื่องจากหลบหนีคดี
                      สำหรับพฤติการณ์ของเรื่องนี้มีว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น ได้ให้สินเชื่อแก่ กลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร ทั้งที่ ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร
                      หากมองย้อนไปมากกว่านั้น ก็จะพบว่าในชั้นการตรวจสอบของ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ” หรือ คตส. จะพบว่า เมื่อตอนที่ คตส.สรุปสำนวนคดีส่งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนต่อนั้น ในสำนวนของ คตส.มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน
                      ครั้งนั้น กรรมการคตส.ท่านหนึ่ง เคยระบุว่าการดำเนินการปล่อยกู้ มีการดำเนินการเป็นขั้นตอนตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการโอนเงินให้ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีตส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัวของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท
                      ทั้งนี้ คตส.เคยกล่าวหาว่า มีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง 5 ส่วนด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ กลุ่มนักการเมือง คือ นายทักษิณ ชินวัตร, นายพานทองแท้ ชินวัตร, นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และนายมานพ ทิวารี
                      ต่อมาคดีดังกล่าว อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทักษิณ, กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชนรวม 27 ราย เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 แต่มีคนที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายพานทองแท้ รวมอยู่ด้วย
                      เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและอดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จึงได้ปัดฝุ่น “คดีฟอกเงิน” ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งค้างอยู่ขึ้นมาทำอีกครั้ง เนื่องจากยังมีผู้เกี่ยวข้องกับการรับเช็คสั่งจ่ายจากกลุ่มผู้บริหารกฤษดามหานครอีกจำนวนหนึ่งแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดีฟอกเงินและรับของโจรอันเป็นความผิดอาญาเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับการทุจริตปล่อยกู้ โดยคดีรับของโจรอายุความ 10 ปี ซึ่งขาดอายุความไปในชั้นการพิจารณาของ ป.ป.ช. จึงเหลือเพียงคดีฟอกเงินที่ถูกส่งมาให้ดีเอสไอดำเนินการก่อนจะครบอายุความในปี 2561
                      การสอบสวนก่อนหน้าที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำพิพากษา มี พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสริฐ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน มีการทำชาร์ตเส้นทางการเงินแต่ไม่ตอบโจทย์อะไรมากนักและมีการสอบปากคำพยานไปแล้ว 148 ปาก อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมที่จะเรียกผู้ต้องหา 4-6 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่มีรายชื่อเป็นจำเลยในคดีทุจริตปล่อยกู้ฯ ตามที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้ว ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินเพิ่มอีก 1 ข้อหา
                      เมื่อ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดใหม่ จึงนำสำนวนคดีชุดเดิมมาสอบทาน พร้อมเปรียบเทียบกับรายละเอียดในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ความยาว 76 หน้ากระดาษ พบว่าต้องสอบสวนใหม่ทั้งหมด โดยตั้งต้นจากชาร์ตเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งข้อมูลค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์ว่า เงินถูกส่งต่อไปให้ใครและออกตั๋วแลกเงิน-เช็คกี่ฉบับ
                      โดยเฉพาะในส่วนของการจ่ายเช็ค 26 ล้านบาท ในวันที่ 30 ธันวาคม 2546 โดยนายธีรโชติ พรมคุณ พนักงานบริษัทกฤษดามหานคร ได้ซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชี นายพานทองแท้ ชินวัตร แต่ในเย็นวันเดียวกันได้สั่งยกเลิกเช็ค แล้ววันรุ่งขึ้นได้ซื้อแคชเชียร์เช็คโอนเข้าบัญชีนางเกศินี จิปิภพ มารดาของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เพื่อซื้อหุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ในชื่อพนักงานบริษัทฮาวคัม จำกัด และบริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ซึ่งมี นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงเป็นเหตุให้ นายพานทองแท้, นางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน, นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนภา, นางเกศินี จิปิภพ มารดาของนางกาญจนาภา และนายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี ถูกดีเอสไอเรียกเข้าให้ปากคำชี้แจงระหว่างวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงเหตุผลในการรับเช็คจากนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ ลูกชายของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ว่ามีมูลหนี้ใดต่อกัน
                      แต่ที่ผ่านมาบุคคลทั้ง 5 ขอเลื่อนนัดให้ปากคำออกไปโดยอ้างว่าอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกอบคำให้การ ส่วนนายพานทองแท้ขอให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำนอกสถานที่ แต่ดีเอสไอยืนยันให้เดินทางมาให้ปากคำที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ
                      ต้องจับตากันต่อไปว่า การสอบสวนขยายผลของดีเอสไอในคดีฟอกเงิน จะออกผลสัมฤทธิ์แค่ไหน !
————————
(‘พานทองแท้’ อีกปม ‘ทักษิณ’ ออกโรงวิพากษ์ร่างรธน.-รัฐบาล : โดย…ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย สำนักข่าวเนชั่น)

Leave a comment