ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/scoop/194098
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงวิกฤติความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลต่อสังคมไทยถึงระดับทัศนคติหรือมุมมองความคิด ส่วนในตอนนี้ มีคำแนะนำที่น่าสนใจจากบุคคลที่เป็นทั้งนักบริหารและนักวิชาการ ว่าด้วย “ทางออก” จากปัญหาเรื้อรังนี้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคนไทยไม่ว่าภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน อาจต้อง “เปลี่ยนมุมคิด” กันพอสมควร
“GDP” ไม่เกี่ยว “ลดเหลื่อมล้ำ”
“จีดีพีทำให้คนมีรายได้มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เอาง่ายๆ ซอยหลังแบงก์ที่ผมทำงานอยู่ ซอยละลายทรัพย์ เขาก็รวยขึ้นกันทุกคนนะครับ อ้าวแล้วทำไมมันเหลื่อมล้ำล่ะในเมื่อมันรวยขึ้นกันทุกคน? คำตอบคือคนที่รวยที่สุดเขารวยเร็วขึ้นไปเยอะเลย พวกนี้กระโดดไปได้ไกล 20 ก้าว แต่คนอื่นเดินไปได้ 3-4 ก้าว เห็นไหมครับ? จีดีพีช่วยเรื่องความเป็นอยู่ แต่ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ที่อีกบทบาทหนึ่งยังเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อธิบายถึงความเข้าใจของสังคมไทย ที่เชื่อกันมาตลอดว่าการเน้นยอดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยดูจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี-GDP) เพียงอย่างเดียวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะแม้รายได้ต่อหัวของแต่ละคนจะเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงพบว่าคนบางกลุ่ม “ได้เปรียบ” สามารถกอบโกยสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองได้มากกว่าคนอื่นๆ ที่เหลืออย่างเทียบกันไม่ได้
ซึ่งสิ่งที่ ดร.กอบศักดิ์ อธิบาย จะไปสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่ใครจะเชื่อว่าดินแดนพญาอินทรีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตมหาศาล มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดเหนือรัฐชาติอื่นๆ จะเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก
ดังที่ โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph E. Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ปี 2001 (พ.ศ.2544) เคยกล่าวไว้ว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นไปเพื่อคนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนคนอีก 99 เปอร์เซ็นต์แทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย” จนเป็นที่มาของ จลาจลวอลล์สตรีท (Wall Street Occupy) ที่ชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง ณ มหานครนิวยอร์ก ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา
ต้องแยกแยะ “ใครบ้างที่ควรช่วย”
นักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์รายนี้ กล่าวต่อไปถึงมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ ที่มักทำกันแบบ “เหวี่ยงแห” ช่วยไปหมดทุกกลุ่ม เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) หรือที่คุ้นหูในชื่อ “บีโอไอ” (BOI) ที่ผ่านมาแทบจะช่วยเหลือภาคธุรกิจทุกรายที่มาร้องขอ ทำให้นายทุนทั้งหลายรวยอย่างก้าวกระโดดกันถ้วนหน้า แต่ประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร เพราะแทบไม่ได้สร้างองค์ความรู้อะไรให้กับสังคมไทยเลย จึงแนะนำว่า BOI ควรจำกัดการช่วยเหลือเฉพาะธุรกิจที่ “ต่อยอดนวัตกรรม” เท่านั้น เพราะทำให้สังคมไทยพึ่งพาตนเองได้
“โครงการที่ทำให้ไทยมีนวัตกรรม อย่างไทยเราเก่งเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน ถ้าเราสามารถทำเรื่องเกษตรแปรรูป เรื่องพลังงานทดแทน อย่างเรื่องของยางรถยนต์ การนำยางมาแปรรูปทำให้เพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่บีโอไอควรจะเน้น อุตสาหกรรมที่เราทำได้ดีเราควรจะไปให้ไกล จะได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง อย่างยานยนต์เราก็ทำได้แต่ยังทำประกอบอยู่ แต่เราก็มีสายการผลิตที่เข้มแข็ง เรื่องชิ้นส่วนนี่เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังไม่มีศูนย์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ อันนี้ละครับที่เราน่าเอาเงินงบประมาณของรัฐไปลง” ดร.กอบศักดิ์ ระบุ
เช่นเดียวกัน โครงการช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าจะเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนการศึกษาของเด็ก ฯลฯ ภาครัฐต้อง “แยกแยะ” ว่าใครบ้างที่ “ควรช่วย” และทุ่มทรัพยากรไปที่คนกลุ่มดังกล่าวอย่างเต็มที่ แม้กระบวนการแยกแยะจะลงทุนสูงมากก็ตาม แต่ในระยะยาวรัฐจะไม่สูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ให้กับคนที่ไม่จำเป็นต้องช่วย ขณะที่ประชาชนเองก็ต้องเข้าใจว่า “ไม่ใช่การแบ่งชนชั้น” แต่เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ดูอย่างเบี้ยยังชีพคนชรา ปัจจุบันเราไม่จำแนกทำให้ต้องจ่ายให้ทุกคน 8 ล้านคน ทั้งๆ ที่มีคนต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แค่ 1-2 ล้านคน ถ้าเราทุ่มให้กับระบบจำแนกมันจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันเราให้เขาเดือนละ 700 บาท เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนเดิม แต่เราก็แจกหมดแล้ว นี่ไงของดีกลายเป็นของเสีย หลายโครงการเรารู้ปัญหา เช่นคุณภาพการศึกษาในชนบท เราก็ทุ่มไปที่การศึกษาในชนบท อันนี้มั่นใจว่าไม่ผิดเป้า
แล้วคนที่มาขอรับความช่วยเหลือต้องแสดงรายได้ ถ้าพบว่าคุณมาหลอกหรือมาโกงภาษีคุณก็ถูกลงโทษ คนรวยหรือคนชั้นกลางเขาก็ไม่อยากถูกลงโทษหรอก อย่างน้อยก็ตัดออกไปได้ 2 กลุ่ม วันนี้เราบอกว่าเราไม่สามารถยอมรับการแบ่งแยกคนได้ แต่สุดท้ายก็คือไม่ได้ช่วยใครเลย ก็ต้องกลับมาคิดว่าเราจะช่วยเขาจริงๆ จังๆ หรือเปล่า ถ้าจะช่วยก็ต้องแบ่งแยกเพื่อให้เราได้คนที่ใช่มา แล้วระบบแบบนี้ ใครมาหลอกแล้วต่อมาเราไปรู้ทีหลังอันนี้เขาก็มีปัญหา เขาก็ไม่กล้าทำหรอก ผมมั่นใจว่าแบบนี้คงจะหายไปเยอะ” ดร.กอบศักดิ์ ให้ข้อเสนอแนะ
“จัดระเบียบ” ถือครองที่ดิน
นอกจากเรื่องของทุนแล้ว “ที่ดิน” ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะที่ผ่านมาที่ดินในไทยส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนอีกจำนวนมากไม่มีแม้ที่ดินสำหรับปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้วจะมีการเก็บภาษีที่ดินโดยยึดตามปริมาณที่ดินที่ถือครอง “ใครมีที่ดินมากก็จ่ายมาก” โดยเฉพาะที่ดินที่ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ทำประโยชน์ เพื่อบีบให้บรรดาเจ้าที่ดินทั้งหลายปล่อยที่ดินออกมาให้รัฐนำไปทำประโยชน์กับประชาชนโดยรวม ขณะเดียวกันการจัดสรรที่ดินต้องมีมาตรการเพื่อ “ปิดทาง” ไม่ให้ผู้ได้รับที่ดินนำไปขายให้นายทุนได้อีก
“มีที่ดินจำนวนมากรกร้าง แล้วก็มีที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มทุนบางกลุ่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง วิธีเก่าๆ อย่าง ส.ป.ก. แจกเมื่อไรหลุดมือใน 3-5 ปี บอกห้ามขายก็ขายได้ เลือดเลยไหลไม่หยุดจากรัฐไปสู่กลุ่มทุน จึงต้องมีมาตรการ เช่น แจกที่ดินไม่ใช่แจกเป็นรายบุคคลแต่แจกในรูปชุมชน เรียกว่าที่ดินแปลงใหญ่หรือโฉนดชุมชน ให้ชุมชนดูแลกันเอง ห้ามขาย ถ้าขายก็ถูกตัดสิทธิ์ทั้งชุมชน
หรือภาษีที่ดินรกร้าง ทำให้คนมีที่เป็นแสนเป็นหมื่นไร่ต้องคายออกมา เพราะไม่มีใครอยากจะถือที่ดินรกร้าง อันนี้ถือเป็นการยกเครื่องใหม่ของการปฏิรูปที่ดินประเทศไทย มีคนศึกษาไว้ครับว่าที่ดินรกร้างแต่ละปีสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจประเทศนับแสนล้านบาท” ดร.กอบศักดิ์ ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM