เจาะใจ…‘นพดล เผือกโสมณ’ ตำรวจกล้า‘วีรบุรุษแห่งบางนรา’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/scoop/192883

วันจันทร์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 02.00 น.

เช้าตรู่วันที่ 18 เมษายน 2550…

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นที่บริเวณโคนเสาไฟฟ้าริมถนนสายนราธิวาส-ตากใบ จ.นราธิวาส ในทันทีที่เท้าซ้ายสวมใส่รองเท้าคอมแบตของ “พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ” รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส (ยศในขณะนั้น) ย่ำลงไปบน “ระเบิดกับดัก” ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แรงระเบิดทำให้ขาซ้าย, แขนซ้ายขาด และขาขวาหัก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องรักษาตัวนานเกือบปี

สื่อทุกประเภทรายงานถึงความกล้าหาญเสียสละของตำรวจกล้า หรือ “วีรบุรุษแห่งบางนรา” ผู้นี้ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเสี่ยงอันตราย เมื่อย้อนหลังไปปี 2546 ขณะดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อบุกเข้าไปช่วยเหลือ ตชด. 2 นายที่พลัดหลงเข้าไปในฝูงชนที่คิดว่าเป็น “โจรนินจา” ตำรวจพลร่ม 2 นาย เสียชีวิต ส่วน พ.ต.อ.นพดล บาดเจ็บสาหัส พักรักษาตัวกว่า 2 เดือน

แต่ไม่ว่าจะผ่านจุด “เฉียดตาย” มาสักกี่ครั้งก็ไม่ทำให้ “หัวใจ” ของเขา ที่วันนี้ประดับยศ “พล.ต.ต.” ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เกิดความ “ย่อท้อ”

พล.ต.ต.นพดล ย้อนอดีตให้ฟังว่า ตอนที่ “โดน” รู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกฉีก แรงระเบิดเหมือน “กระชากวิญญาณ” ออกจากร่าง แต่คิดอย่างเดียวว่าขอให้ “รอดตาย”เพราะยังอยากทำงาน พอมาถึงโรงพยาบาลทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมีชาวบ้านทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม มาบริจาคโลหิต เพื่อช่วยเหลือ ถึงกับทำให้ “น้ำตาไหล”

“โอ้โห!!! กำลังใจมาทันที ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตายไม่ได้ต้องอยู่ เพื่อทำงานสนองพระมหากรุณาธิคุณของทั้ง2 พระองค์ท่าน นอกจากนี้ยังมีเลือดชาวบ้านอยู่ในตัวเรา คิดอย่างเดียว คือ ต้องหาย เราต้องไม่ยอมจำนน เพื่อกลับไปทำงานช่วยเหลือชาวบ้านให้ได้”

หลังจากนั้นมีจิตแพทย์เข้ามา “ฟื้นฟู” จิตใจ ซึ่งตอนนั้นตนคิดว่า “สูญเสีย” ไปแล้ว จะทุรนทุรายทำไมจึงตั้งเป้าหมายว่าต้องกลับไปทำงานให้ได้ เพื่อทดแทนบุญคุณของทั้ง 2 พระองค์ และชาวบ้าน จึงบอกจิตแพทย์ไปว่า“ผมทราบดีว่าขาผมขาด ไม่มีทางเอากลับคืนมาได้ บาดแผลทางร่างกายเป็นหน้าที่ของหมอ แต่บาดแผลทางจิตใจเดี๋ยวผมรักษาเอง” ซึ่งเป้าหมายของการตั้งใจกลับไปทำงานทำให้ผ่านจุดนั้นมาได้

แม้ “ร่างกาย” ไม่ปกติ แต่ไม่ทำให้ไฟในการทำงาน “มอดดับ” แม้วันนี้จะทำหน้าที่ด้านอำนวยการ แต่เขาก็ยังลงพื้นที่อยู่บ้างตามสถานการณ์เพื่อ“อำนวยการการรบ” ดูแลเรื่องยุทธวิธีให้กับหน่วยปฏิบัติ และรับหน้าที่วิทยากร เพื่ออบรมสร้าง “แรงบันดาลใจ” ให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ที่ยึดเขาเป็น“ต้นแบบ” ล่าสุด พล.ต.ต.นพดล รับหน้าที่เป็นวิทยากร “โครงการปรับทัศนคติ” อบรมตำรวจ“กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6” ที่ดูแล 14 จังหวัดภาคใต้ให้มี “เข็มทิศ” ในการทำงาน และสร้างภาพพจน์ใหม่

ในฐานะที่ผ่านงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มานานทำให้เขามองว่าสถานการณ์ “เปลี่ยนไป” โดยสมัยก่อนกลุ่มโจรใต้จะใช้ “คาร์บอมบ์” ลูกเดียว-ครั้งเดียว เสียหายหนักแต่ทุกวันนี้มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง วางระเบิดลูกเล็กๆพร้อมกันหลายจุด เพื่อสร้างความหวาดกลัวมากกว่าจะมุ่งเอาชีวิต ใช้การ “ก่อกวน” เพราะกลุ่มโจรใต้อยู่ในภาวะ “เพลี่ยงพล้ำ” จากการที่รัฐสามารถทำความเข้าใจกับประชาชน ผู้นำท้องถิ่น และองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ได้ในหลายๆ ระดับ

“แต่เป้าหมายของผู้ก่อความไม่สงบ อันดับแรกยังเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเมื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐได้ก็เหมือนจะแสดงให้เห็นว่าอำนาจรัฐอ่อนแอ”

พล.ต.ต.นพดล มองว่า แนวทาง “ดับไฟใต้” เดินมาถูกทางแล้ว การสร้าง “ความสมานฉันท์” เป็นเรื่องถูกต้องแต่ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้อง “แสดงกำลัง” เพื่อให้เห็นว่าอำนาจรัฐยังเข้มแข็ง ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านได้การปล่อยตัวอดีตแกนนำต่างๆ เป็นอีกหนึ่งปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ได้ผล เพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐไม่ได้จงเกลียดจงชังแกนนำ และ “ให้อภัย” ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญของชาวมุสลิม

ยุทธศาสตร์พระราชทานของในหลวงที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ก็ถือเป็นหลักปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด แต่ทุกคนต้องปฏิบัติแนวทางเดียวกัน จึงจะเกิดผลสำเร็จต้องไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ไม่ปฏิบัติการที่ดู “เกินเลย” หรือ “รุนแรง” ในมุมมองของชาวบ้านเพราะจะทำให้โจรใต้ฉวยโอกาสปลุกปั่น และอ้างเป็น “ความชอบธรรม” ในการก่อเหตุ “ตอบโต้”

“ไฟใต้มันเหมือนไฟไหม้ขนาดใหญ่ ทุกวันนี้ก็เหมือนจะดับแล้ว แต่อาจมีควันคุกรุ่นอยู่ ถ้ามีใครไปเติมเชื้อไฟก็พร้อมจะลุกโชนขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แต่อาจไม่เป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่ ผมเชื่อว่าเราดับไฟใต้ได้ เพียงแต่มันยังไม่มอดสนิท ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันป้องกันอย่าให้มีใครมาเติมเชื้อ หรือกระพือให้ไฟมันโหมขึ้นมาอีกอย่างรุนแรง”

พล.ต.ต.นพดล ฝากถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงทุกวินาที ว่า จะด้วยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ ลงมาทำงาน ขอให้คิดไว้เสมอว่านี่คือ “หน้าที่” และความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของชาติบ้านเมือง ทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันแก้ไขปัญหา โดย 1.ต้องเข้าใจก่อนว่าภาคใต้เป็น “แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์” ที่ในหลวงเคยเสด็จฯมาเยี่ยมเยียนทุกปี มีโครงการต่างๆมากมายลงมา เพื่อช่วยให้ชาวบ้านกินดีอยู่ดี ตอนนี้พระองค์ท่านทรงลงมาดูแลพื้นที่ไม่ได้ เราต้องดูแลแทน เพื่อตอบแทนบุญคุณในหลวง 2.เมื่อลงมาทำหน้าที่ แม้มันอาจไม่สำเร็จ แต่ “ประวัติศาสตร์” จะจารึกไว้ว่าเรามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา และมาทำงานเพื่อชาติ และ 3.“อย่ากลัว” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ที่สำคัญ คือ การทำงานในพื้นที่ต้องระวัง แต่ “อย่าระแวง”

สำหรับตำรวจ-ทหาร หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่สูญเสีย หรือ “พิการ” ไปแล้ว ให้คิดว่าเป็น “ข้าของในหลวง” เป็นข้าของแผ่นดิน เมื่อได้รับบาดเจ็บให้ถือเป็นความ“เสียสละ” ซึ่งมี 3 ระดับ คือ 1.เสียสละที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่2.เสียสละแรงกายแรงใจ และ 3.เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องมาตุภูมิและประชาชน ขอให้ “ภาคภูมิใจ”

แม้จะสูญเสียก็ต้องสู้ เพราะการเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง ถือเป็น “เกียรติยศ” สูงสุดของชีวิต เป็น“ข้าของแผ่นดิน” และ “ข้าของในหลวง” ต้องแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตำรวจต้องมี “จิตวิญญาณ” ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แม้ตัวตายก็ต้องยอม เพราะ “ดาวบนบ่า” ไม่ใช่เครื่องประดับให้สวยงาม แต่หมายถึงหน้าที่ และความ “เสียสละ”

SCOOP@NAEWNA.COM

Leave a comment