ไขข้อข้องใจ‘เสาสัญญาณมือถือ’ สูง!!!‘คลื่นแรง-ลดอันตราย’.???

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/scoop/194307

วันพุธ ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 02.00 น.
ปัจจุบันธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังเติบโตขยายเครือข่าย เช่นเดียวกับเทคโนโลยีในการส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ก้าวสู่ “ยุค 4G” เพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าปี 2559 จะมีจำนวนการลงทะเบียนผู้ใช้มือถือ(subscriber) เติบโตกว่า 1.3 พันล้านเครื่อง ซึ่งจะทำให้การจราจรทางข้อมูลทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 100%

ภายใต้อัตราการขยายตัวที่ว่านี้ “สถานีเครือข่าย” เพื่อเป็นต้นทางในการแพร่สัญญาณ จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ขณะที่การรับส่งสัญญาณยังต้องเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่…สิ่งที่ตามมา คือ ผลกระทบจาก “คลื่นวิทยุ” หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่กลายเป็นเรื่อง“อันตราย” ระดับสากล มีการถกเถียงในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย

ข้อมูลของ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” หรือ กสทช. ระบุว่า “คลื่นวิทยุ”(Radio Signal) ที่ถูกปล่อยออกมาจากสถานีเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ Base stations ที่มีสัญญาณแรงในระดับสูงสามารถสร้างความร้อน และเป็นสาเหตุ
สำคัญที่ทำให้ “เนื้อเยื่อ” ของมนุษย์ถูกทำลายได้ ซึ่งเป็นผลกระทบทางชีววิทยา หรือ Biological Effect ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา เนื่องจากถูกกระตุ้น หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และ biological effect occurs จะกลายเป็นความ “เสี่ยง” ต่อสุขภาพ หรือ Health Hazardต่อเมื่อการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยานั้นนำมาซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

คำถาม คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อให้เกิด BiologicalEffect หรือไม่ และถ้าก่อให้เกิด Biological Effect จริง สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่แรงพอที่จะนำไปสู่ HealthHazard หรือไม่.???

ข้อมูลของ กสทช. พบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามี 2 ประเภท คือ 1.คลื่นนอนไอโอไนซ์ (Non-ionizing radiation)ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อ หรือเซลล์ของมนุษย์ โดยให้เพียงความร้อนเท่านั้น เช่น คลื่นวิทยุ FM/AM และคลื่นจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ สถานีฐานโทรทัศน์ เป็นต้น และ2.คลื่นไอโอไนซ์(Ionizing radiation) ซึ่งมีผลกระทบต่อเซลล์ เช่น รังสีเอกซเรย์ที่ใช้ในวงการแพทย์

“อันตราย” ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นอยู่กับระดับ “กำลัง” ถ้ากำลังมากจะทำให้ความร้อนมาก ซึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดจะมีกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างกัน เช่น คลื่นวิทยุFM รัศมี 50 กิโลเมตร มีระดับกำลัง 100 กิโลวัตต์,เตาไมโครเวฟ มีระดับกำลัง 1 กิโลวัตต์, “โทรศัพท์เคลื่อนที่” ระบบ 2G มีระดับกำลัง 2 วัตต์ แต่ระบบ 3G มีระดับกำลังประมาณ 0.8 วัตต์ ถ้าระบบ 4G ระดับกำลังจะน้อยลงอีก

ทั้งนี้ การปล่อยคลื่นสัญญาณโทรศัพท์จากสถานีฐานนั้น เครื่องรับส่งสัญญาณจะอยู่ด้านบนสุดของเสา ซึ่งระยะห่างจากเสามีผลต่อระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้รับ-ส่งสัญญาณ ระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่กับเสาสัญญาณ ถ้าอยู่ “ไกล” เสา ก็จะใช้กำลังมากกว่า แต่จะไม่เกินกำลังสูงสุดที่กำหนดไว้ของอุปกรณ์คือ กรณีโทรศัพท์ระบบ GSM มีกำลังสูงสุด 2 วัตต์ จะส่งสัญญาณไปยังเสาสัญญาณได้สูงสุด 2 วัตต์ แต่หากอยู่ใกล้เสาสัญญาณจะใช้กำลังส่งคลื่นไม่ถึง 2 วัตต์

อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่มักกลัว “เสาส่งสัญญาณ” ที่มีขนาดใหญ่มากกว่าจะกลัว “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” จากเครื่องรับ-ส่งสัญญาณ ทั้งที่ในความเป็นจริง คือ“เครื่องรับ-ส่งสัญญาณ” มีขนาดไม่ใหญ่ แต่เป็นตัวปล่อย “คลื่นอันตราย” ส่วนเสาสัญญาณที่มีขนาดใหญ่เพราะต้องการให้เครื่องรับ-ส่งสัญญาณอยู่สูงๆ เพื่อส่งสัญญาณได้ไกล และยิ่งอยู่สูงจะยิ่งปลอดภัยจากความแรงของคลื่นอันตรายอีกด้วย

ขณะที่ “สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ VS สถานีฐานโทรทัศน์” ที่มีระดับกำลังส่งเดียวกัน กำลังการแพร่ที่ใกล้กับสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะมีค่าน้อยกว่าสถานีฐานโทรทัศน์เป็นอย่างมาก โดยสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะมีความหนาแน่นมากกว่าเครือข่ายของสถานีถ่ายทอดสัญญาณวิทยุเป็นอย่างมาก ดังนั้นสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่จะใช้กำลังส่งน้อยกว่าสถานีถ่ายทอดสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์อย่างมาก และสามารถติดตั้งในเขตพื้นที่ชุมชนได้อย่าง “ปลอดภัย”

“ดร.เจษฎา ศิวรักษ์” เลขานุการประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. “ไขข้อข้องใจ” ในประเด็น “เสาส่งสัญญาณ” โทรศัพท์เคลื่อนที่ใกล้ตัวอันตรายจริงหรือไม่ว่า ความเข้าใจของคนทั่วไปมักกังวลว่าการอยู่ใกล้เสาส่งสัญญาณจะเกิดอันตราย แต่ความจริงอันตรายไม่ได้อยู่ที่เสาส่งสัญญาณ แต่อยู่ที่ “เสาอากาศ” ที่อยู่บนเสาส่งสัญญาณมากกว่า ที่ผ่านมายังไม่พบว่าคลื่นความถี่สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง เป็นแต่เพียงมีความ “เสี่ยง” ต่อสุขภาพเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณด้วยว่าจะมีผลทางชีวภาพกับร่างกายหรือไม่

“ข้อสงสัย” ที่พบบ่อย เช่น การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ใน “พื้นที่ปิด” มีอันตรายหรือไม่ ความจริงพื้นที่ปิด เช่น ลิฟต์ หรือรถไฟฟ้า มีระยะห่างจากสถานีฐานมาก ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องเพิ่มความแรงในการส่งสัญญาณมากขึ้น…โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสาเหตุให้เกิด “มะเร็ง” ความจริงแล้วอันตรายจากรังสี หรือสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังปลอดภัยกว่าแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ และรังสีเอกซเรย์…“ห้ามใช้” โทรศัพท์เคลื่อนที่ใน “โรงพยาบาล” ความจริงห้ามใช้เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนกับอุปกรณ์วัด “คลื่นหัวใจ” ไม่มีอันตรายใดๆ…ฯลฯ

“คลื่นวิทยุ หรือคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าจากเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีผลกระทบกับร่างกายโดยตรง จุดที่มีความเสี่ยง คือ เสาอากาศที่อยู่บนเสาส่งสัญญาณหรือสถานีฐาน ในระดับสัญญาณย่านความถี่เดียวกันเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ปลอดภัยกว่าเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ ที่มีขนาดเสาเท่ากัน นอกจากนี้ยังไม่มีรายงานว่าคลื่นวิทยุเป็นอันตราย มีเพียงส่งผลกระทบทางชีวภาพ ประเด็นมีความเสี่ยงยังไม่มีผลกระทบทันทีขึ้นอยู่กับการสะสมจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพต่อร่างกาย” ดร.เจษฎา กล่าว

นี่คืออีกหนึ่งข้อเท็จจริงเรื่อง “อันตราย…เสาสัญญาณมือถือ” ที่ กทค. และ กสทช. ออกมา “ไขข้อข้องใจ”เพื่อหวังให้ผู้คนเข้าใจมากขึ้น แต่ปัญหาเรื่องอันตรายจากเสาส่งสัญญาณยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะผลกระทบทางสุขภาพ หลายพื้นที่ “รุนแรง” ถึงขั้น “ต่อต้าน”และเรียกร้องให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบ สวนทางกับ “โครงข่าย”ที่กำลังพัฒนาไปไกล เพื่อรองรับเทคโนโลยีระบบ 4G ซึ่งทำให้ต้องตั้ง “เสาส่งสัญญาณ” มากขึ้น และอาจนำมาซึ่งการ“ขัดขวาง” จากประชาชนในชุมชนที่มองว่าจะได้รับผลกระทบถือเป็น “การบ้าน” ที่อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยี 4G “สะดุด” ซึ่งทุกหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกัน “ชี้แจง” ให้ประชาชนเข้าใจ ที่สำคัญเรื่องนี้ “ช้า”ไม่ได้ ต้องชี้แจงแบบ…

“เร็ว…แรง…ทะลุทะลวง”!!!

น้ำฝน บำรุงศิลป์
SCOOP@NAEWNA.COM

3 thoughts on “ไขข้อข้องใจ‘เสาสัญญาณมือถือ’ สูง!!!‘คลื่นแรง-ลดอันตราย’.???

  1. EXPOSURE OF MICE TO 900 – 1900 MHZ RADIATIONS FROM CELL PHONE RESULTING
    IN MICROSCOPIC CHANGES IN THE KIDNEY
    N. Mugunthan, J. Anbalagan, S. Meenachi, A. Shanmuga Samy

    ABSTRACT
    Objective: The study was to evaluate possible effects of chronic exposure to 900 – 1900 MHz radiations emitted from 2G cell phone on kidney of mice at the histological level.
    Methods: Mice were exposed to 2G ultra-high frequency radiation, 48 minutes per day for a period of 30 to 180 days. The amount of electromagnetic field (EMF) exposed was measured by radiation frequency meter. The sham control mice were subject to similar conditions without 2G exposure. Six animals each were sacrificed at the end of 30, 60, 90,120,150 and 180 days of exposure in the experimental group after 24 hours of last exposure. Same numbers of control animals were sacrificed
    on similar period. Both kidneys were harvested and processed for histomorphometric study. Kidneys size, weight and volume were measured and analysed. Kidney sections were analysed under the light microscope and structural changes were studied.
    Results: In 2G exposed group the kidney weight and volume was significantly reduced in the first month. Kidney weight alone was significantly increased in the fifth month. Glomerulus showed dilated capillaries and increased urinary space. Proximal convoluted tubule showed wider lumen with reduced cell size. Brush border interrupted at places and vacuolated cytoplasm and pyknotic nuclei. Wider lumen with decreased cell size and marked basal striations were found in the distal convoluted tubule.
    Conclusion: Chronic exposure to ultra-high frequency radiation from 2G cell phone could cause microscopic changes in glo- merulus, proximal and distal convoluted tubules of the kidney.

    ผลการทดลอง
    พบขนาดและน้ำหนักไต(Morphometric) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในหนูทดลองที่ได้รับคลื่น 900 MhZ และ 1800 Mhz ในช่วงเดือนแรก (ส่วนเดือน 2-6 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ) ที่ glomerulus พบลักษณะที่เปลี่ยนไปคือทำให้เส้นเลือดฝอยที่ขดอยู่ภายเพื่อทำหน้าที่กรองของเสียขยายตัวขึ้น ตัวspace ภายในbowman capsule มีการขยายขนาดขึ้นและมีสารต่างๆมาสะสมภายใน
    Proximal convoluted tubule ในหนูทดลองพบ ที่ท่อขดไตส่วนต้นพบพยาธิสภาพคือ มีการทำลายที่ cell บุท่อไต ทำให้เซลสูญเสียbrush border (ลักษณะcell ที่มีพื้นผิวขดไปมาเพื่อเพิ่มพื้รที่แลกเปลี่ยนสาร)และมีความสูงของcell ลดลง(ปกติcell ท่อไตจะเป็นรูปร่างcuboidal เป้นสี่เหลี่ยมจัตุรัส) บางเซลมีnucleus ที่ผิดปกติคือ เกิดpyknotic (นิวเคลียสจับกันเป้นก้อนแน่นแบบirreversible นำไปสู่การตายของเซล) ร่วมกับvesicular nuclei สำหรับที่cytoplasm ของเซลเกิดfoamy vacuole และพบลักษณะcytoplasm เป้นแบบacidophilic และพบlumen ของท่อไตdilate ขึ้น

    สรุปรวมๆก้คือทำให้เกิดพยาธิสภาพต่อเซลบุท่อไต คือทำให้เซลล์มีmorpholgy ผิดปกติไปจากเดิม เกิดcell injury บางเซลมีความผิดปกติที่nucleus ก้จะนำไปสู่cell death

    ที่ distal convoluted tubule ท่อขดไตส่วนปลายก้พบพยาทิสภาพทำให้brush border หายไปเป้นช่วงๆไม่ต่อเนื่องกันตลอดท่อและพบlumen ของท่อกว้างขึ้นcytoplasm เซลปกติnucleus แบนลง พบbasal striation

    Like

Leave a comment