ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05092150958&srcday=2015-09-15&search=no
| วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607 |
คิดเป็นเทคโนฯ
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราสกัดโปรตีน หนึ่งในเมล็ดพันธุ์ภูมิปัญญา สู่นวัตกรรมชั้นนำ แห่งชีวิต
ท่ามกลางกระแสทุนนิยมที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาล่อตาล่อใจให้ผู้คนเดินเข้าไปในวังวนแห่งธุรกิจอันโหดร้ายเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ จนหลายคนหลงลืมแม้แต่สิ่งเล็กๆ ที่อยู่รอบกาย หากแต่ทีมคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันเป็นทีมนักวิชาการที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในแขนงที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา เลือกที่จะไม่หลงเข้าไปในกระแสวัตถุทุนนิยมเหมือนกับคนอื่น แต่พวกเขากลับเลือกที่จะนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ วกกลับมาพัฒนาแผ่นดินเกิดของตัวเอง ด้วยการนำเมล็ดพันธุ์แห่งภูมิปัญญาในท้องถิ่น อย่าง ยางพารา อันเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนคนภาคใต้ มาหลอมรวมกับนวัตกรรมชั้นเยี่ยม จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่เกิดจากน้ำยางพารา
“ชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราสกัดโปรตีน” เป็นหนึ่งในผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจ ที่คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำมาจัดแสดงในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2558 Thailand Research Expo 2015 ระหว่าง วันที่ 10-20 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี ผศ.นพ. วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นผู้คิดค้นอุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นนี้ขึ้นมา
ผศ.นพ. วรวิทย์ เล่าถึงที่มาในการคิดค้นชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราสกัดโปรตีน ว่าจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยนั้นมีการปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยอยู่ในขณะนี้ก็ส่งผลให้ยางพารามีราคาถูกลง ประกอบกับในแต่ละปีประเทศไทยโดยเฉพาะตามโรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องนำเข้าอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวาร ในปีละปริมาณมากขึ้นทุกปี มิหนำซ้ำราคาก็แพงหูฉี่ ตกเฉลี่ยแผ่นละ 120-300 บาท ส่งผลให้ผู้ป่วยและโรงพยาบาลต้องรับภาระในส่วนนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการลดการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศ และยังเพิ่มมูลค่าสินค้าให้ยางพาราชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราสกัดโปรตีน จึงเกิดขึ้นมา
“ปัจจุบันชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมมีอยู่หลากหลายชนิด และหลากหลายชื่อทางการค้า แต่ละรายก็มีราคาแตกต่างกันออกไปตามชนิดและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตอุปกรณ์ชนิดนี้เองได้ในเชิงอุตสาหกรรม และมีโรงพยาบาลหลายแห่งพยายามดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อใช้แทนถุงทวารเทียม แต่ก็เกิดปัญหาระหว่างการใช้และผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากทวารเทียม เช่น มีภาวะระคายเคืองรอบทวารหนัก มีแป้นรั่วซึมหรือหลุดง่ายและเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมและทีมนักวิจัยช่วยกันพัฒนาคิดค้นอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราขึ้นมา” คุณหมอหนุ่มเปิดใจ
เมื่อมีความตั้งใจเกินร้อย บวกชีวิตการเป็นหมอผ่าตัดที่ในแต่ละวันอาจถือมีดผ่าตัดช่วยชีวิตคนได้เต็มที่ 3-4 คนเท่านั้น แต่การคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมา นอกจากจะได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราได้แล้ว ยังเป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วยคนไทยที่ทุกข์ทรมานกับโรคร้ายอย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกมหาศาล โดยเฉพาะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ตัวนี้ได้อีกด้วย นับว่าเป็นการให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ผศ.นพ. วรวิทย์ เล่าว่า กว่าที่ผลงานชิ้นนี้จะออกมาเป็นที่ประจักษ์ได้นั้น เขาและทีมงานอีกหลายชีวิต ทั้ง นักวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ต้องประสานใจกันอย่างเต็มกำลังเพื่อบูรณาการทักษะและความชำนาญของแต่ละคนเพื่อทำให้ได้อุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นนี้ออกมาดีที่สุด
“ผลงานชิ้นนี้พวกเราใช้เวลาคิดค้นอยู่ประมาณ 2 ปี ในขั้นตอนของการทำงาน กระบวนการที่ยากที่สุดคือ การคิดค้นสูตร เราในฐานะหมอไม่สามารถทำงานคนเดียวให้ประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ ในการคิดค้นสูตร อีกทั้งรูปแบบการใช้งานให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ายาก เพราะที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีหน้าที่รับผิดชอบของใครของมัน ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันนัก แต่สำหรับการคิดค้นอุปกรณ์ตัวนี้พวกเราทุกคนต้องระดมสรรพกำลังและทักษะแต่ละด้านที่มีอยู่อย่างสุดความสามารถ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป งานคงไม่สมบูรณ์”
ภายในนิทรรศการไม่ได้มีเพียงแค่การนำยางพารามาทำเป็นอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายเทียมเท่านั้น แต่คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยังได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ชิ้นอื่นที่ทำมาจากยางพาราอีกหลายชนิดด้วยกัน อาทิ แผ่นยางปูพื้นอเนกประสงค์จากยางพารา ซึ่งเป็นการนำน้ำยางสดที่เก็บรักษาด้วยแอมโมเนียม และผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนจนออกมาเป็นแผ่นยางปูพื้นอเนกประสงค์ ที่สามารถนำไปใช้เพื่อลดการบาดเจ็บของนักเรียน นักกีฬา ผู้สูงอายุ และคนทั่วไปจากการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ยังมีบล็อกยางปูพื้นทางเดินจากยางพารา ที่มีความหยืดหยุ่นสูง เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือหกล้มก็จะช่วยลดการบาดเจ็บได้ อีกทั้งบล็อกยางปูทางเดินจากยางพารา ยังสามารถช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้ยางพารามีราคาแพงขึ้น
POS เครื่องสำอางบำรุงผิวจากสารสกัดยางพารา ก็เป็นอีกนวัตกรรมใหม่อันเกิดจากการหลอมรวมภูมิปัญญา ผสมกับหลักการสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว เพราะนักวิจัยได้นำสารสกัดจากยางพาราซึ่งมีคุณสมบัติในการลดสิว ฝ้า รอยด่างดำ ลดความมันบนใบหน้า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวเรียบเนียน มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนักวิจัยไทยที่ได้ทุ่มเททั้งมันสมองและสองมือเพื่อพัฒนางานวิจัยไทยให้มีคุณภาพและประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน ตามคอนเซ็ปต์นำงานวิจัยจากหิ้งมาสู่ห้างอย่างแท้จริง
วช. สร้าง นักวิจัยดาวรุ่ง สู่นักวิจัยมืออาชีพ
ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2558 (Thailand Research Expo 2015) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดให้มีการประกวด “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอุดมศึกษา” ภายใต้โครงการส่งเสริมการวิจัยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอุดมศึกษาขึ้น ซึ่ง ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรมนี้ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทักษะและเทคนิคการประดิษฐ์คิดค้นอย่างเป็นระบบ เพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้นิสิต นักศึกษา ได้เข้าใจและเห็นประโยชน์ของการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นเพื่อสร้างสรรค์ผลงานในเชิงนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับการก้าวสู่การแข่งขันในเวทีระดับชาติและนานาชาติ เพื่อส่งเสริมและสร้างให้เกิดเครือข่ายด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นระหว่างนิสิต นักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา ครั้งนี้มีผลงานนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ของนิสิต นักศึกษา จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมประกวด จำนวน 71 ผลงาน ใน 4 กลุ่มเรื่อง
ผลการตัดสินในปีนี้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ใน 4 กลุ่ม ได้แก่
รางวัลดีเด่น เงินรางวัล 30,000 บาท จำนวน 4 รางวัล ได้แก่
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผลงาน อินโนไมโครคอนเทนเนอร์ หลอดเก็บเลือดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดปริมาณน้อย
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ผลงาน เครื่องมือสำหรับตรวจจำแนกไข่ไก่มีเชื้อพร้อมฟัก โดยใช้เทคนิคการวัดการเต้นของหัวใจแบบไม่สัมผัส
– กลุ่มด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ผลงาน โนราเทิดพระเกียรติ
– กลุ่มด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน
ผลงาน ระบบผจญเพลิงแบบผสมในอาคารสูงเคลื่อนที่ด้วยหุ่นยนต์แบบล้อ
รางวัลดีมาก เงินรางวัล 20,000 บาท จำนวน 4 รางวัล ได้แก่
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน เครื่องช่วยฝึกเดินด้วยการช่วยพยุงน้ำหนักบางส่วน
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผลงาน ชุดตรวจความไวสูงแบบแถบสีสำหรับตรวจเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาว
– กลุ่มด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
ผลงาน สักการะเทวราช
– กลุ่มด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่
ผลงาน เครื่องสกัดน้ำขิงโดยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์
รางวัลดี เงินรางวัล 10,000 บาท จำนวน 8 รางวัล ได้แก่
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน ชุดต้นกำลังติดประกอบรถเข็นคนพิการแบบใช้ไฟฟ้า
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผลงาน เอนยู-เอเอชเอส คริสติวซี ตัวอย่างเลือดครบส่วนสำหรับใช้ควบคุมและประเมินคุณภาพ การตรวจค่าเม็ดเลือดแดงอัดแน่น
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน ไก่ยอเพื่อสุขภาพพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนตัว
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผลงาน ชุดตรวจ Duplek LAMP test สำหรับตรวจ Vibrio vulnificus
– กลุ่มด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผลงาน เส้นสายลายทอง บนสถาปัตยกรรม
– กลุ่มด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผลงาน เงือกน้อย
– กลุ่มด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผลงาน เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายแบบสามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเองสำหรับติดเครื่องจักร
– กลุ่มด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
ผลงาน ระบบการทำความร้อนด้วยไมโครเวฟร่วมกับการพาความร้อนเพื่อศึกษาพฤติกรรมพื้นฐานทางความร้อนในวัสดุไดอิเล็กทริกโดยคลื่นไมโครเวฟในท่อนำคลื่นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าโหมด ทีอี 10
รางวัลขวัญใจนักประดิษฐ์ เงินรางวัล 10,000 บาท จำนวน 6 รางวัล ได้แก่
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน ชุดต้นกำลังติดประกอบรถเข็นคนพิการแบบใช้ไฟฟ้า รุ่น 3
– กลุ่มวิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และ การแพทย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผลงาน อินโนไมโครคอนเทนเนอร์ หลอดเก็บเลือดสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดปริมาณน้อย
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ผลงาน ชุดถังหมักแก๊สชีวภาพแบบประหยัด
– กลุ่มเกษตรศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ผลงาน เครื่องมือสำหรับตรวจจำแนกไข่ไก่มีเชื้อพร้อมฟักโดยใช้เทคนิคการวัดการเต้นของหัวใจ แบบไม่สัมผัส
– กลุ่มด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ผลงาน ชุดเจ้าชายกาแฟ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
– กลุ่มด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ผลงาน เสื้อสามฤดู และระบบทำความเย็นพลังงานแสงอาทิตย์
“น้ำพระทัยเจ้าฟ้าสิรินธร สู่งานวิจัยไทยอันทรงคุณค่า”
ในงาน มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2558
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดงานนิทรรศการ “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2558 (Thailand Research Expo 2015) ที่จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ และทรงเปิดการสัมมนาร่วมทางวิชาการระหว่างไทย-อินเดีย ครั้งที่ 9 ณ ศูนย์การประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมี ร.ศ. ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ เฝ้ารับเสด็จฯ เมื่อเร็วๆ นี้
การนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “ความท้าทายด้านสังคมศาสตร์แห่งประเทศอินเดีย หรือ “The 9 NRCT-ICSSR Joint Seminar on Social Science Challenges for Thailand and India”โดย ธรรมศาสตราภิชาน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดงาน ความว่า “งานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2558 และการสัมมนาร่วมทางวิชาการ ระหว่าง ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 9 ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 ซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการจะยกระดับงานวิจัย และสร้างระบบการวิจัยของประเทศให้เข้มแข็ง อีกทั้งสนับสนุนนักวิจัยให้มีศักยภาพในการสร้างงานและวิจัย และมีกำลังใจศึกษาคิดค้นนวัตกรรมใหม่ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนพัฒนาประเทศชาติ การสัมมนาร่วมความสัมพันธ์ไทยอินเดียในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสังคมศาสตร์สำหรับประเทศไทยและประเทศอินเดีย” ที่จัดขึ้นพร้อมกันเพื่อร่วมกันหาแนวทางให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เชื่อว่าจะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสมของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ให้แน่นแฟ้น อันนำไปสู่ความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ ให้มีความสุขและเกิดสันติ”
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ เผยรับสั่งของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีต่อวงการนักวิจัยไทยว่า พระองค์ทรงแนะนำในเรื่องงานวิจัย นักวิจัยต้องมองงานในมุมมองใหม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน และทั้งนี้ทั้งนั้นงานวิจัยนั้น ไม่ควรมองแค่ในมุมมองของวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นักวิจัยต้องคำนึงถึงสภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม อย่างครบถ้วน อาทิ การวิจัยและพัฒนาเรื่องน้ำ นักวิจัยต้องคำนึงถึงด้านภูมิศาสตร์ให้รอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่จะผลิตทำน้ำประปาเพื่อการบริโภคอย่างเดียว หากแต่ต้องสามารถนำน้ำไปใช้ทางด้านการเกษตรได้ด้วย
ผศ.ดร. อริศร์ เทียนประเสริฐ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาประธานเครือข่ายวิจัยอุดมศึกษาภาคกลางตอนล่าง กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการวิจัยไทยเป็นอย่างยิ่ง และถือว่าพระองค์ทรงเป็นต้นแบบที่ดีของนักวิจัย เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีความสนพระหฤทัยใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา อันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักวิจัย ดังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าพระองค์เสด็จฯ ไปที่ใดก็ตาม จะทรงจดบันทึกไว้ในสมุดบันทึกส่วนพระองค์เสมอ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงช่างสังเกต เช่น เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นไม้ย่อมุม 12 ของจังหวัดเพชรบุรี พระองค์ทรงตั้งข้อสังเกตและทรงซักถามในทันทีว่า ทำไม ไม้ย่อมุม 12 ของเพชรบุรี มีความละเอียดและอ่อนช้อยกว่า ไม้ย่อมุม 12 ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิ่งเหล่านี้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นต้นแบบให้นักวิจัยไทยได้เจริญรอยตามพระองค์ท่านในการพัฒนางานวิจัย เพื่อพัฒนาสังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน
แม้ว่าจะสิ้นสุดการจัดงานไปแล้วก็ตาม แต่หัวใจนักวิจัยทุกคน ยังคงมีไฟแห่งการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และพร้อมที่จะพัฒนางานวิจัยให้มีความก้าวหน้า เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่า “งานวิจัย จะสามารถสร้างสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน”