ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05061150958&srcday=2015-09-15&search=no
| วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607 |
รายงานพิเศษ เข้าสวนชมวิถีเกษตร กรุงเทพฯ
สุจิต เมืองสุข
เกษตรกรุงเทพมหานคร ดันตลาดเกษตรกร เข้าถึงผู้บริโภค หวังผลเกษตรเมืองยั่งยืน
ใครจะรู้ว่า เมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ กรุงเทพมหานคร ที่ยิ่งใหญ่ของทุกคน จะเป็นเสมือนหน้ากากซ่อนความงามอีกมุมที่คาดไม่ถึงไว้อย่างมิดชิด มุมที่สวยงาม มุมที่หากไม่ค้นหาอาจไม่ได้พบเจอในเมืองใหญ่แห่งนี้
รายงานพิเศษ ในนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านฉบับนี้ รวบรวมแหล่งเกษตรในเมืองมานำเสนอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เบื้องหลังกำแพงคอนกรีตยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเกือบ 200,000 ไร่ หากเทียบกับจังหวัดอื่น นับว่าเป็นจำนวนที่มากทีเดียว
นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน มีโอกาสได้สัมภาษณ์ คุณดวงเดือน สมวัฒนศักดิ์ เกษตรกรุงเทพมหานคร สารถีหลักผู้ดูแลเกษตรกรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดย คุณดวงเดือน ให้ข้อมูลว่า กรุงเทพมหานคร มีเขตการบริหาร 50 เขต แต่สำนักงานเกษตรกรุงเทพมหานคร ดูแลพื้นที่ที่ยังมีเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รอบนอก คิดเป็นพื้นที่ที่พบว่ายังมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ จำนวน 26 เขต พื้นที่เพาะปลูกที่ผ่านมามีมาก แต่ลดลงเรื่อยๆ ปัจจุบัน มีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่เพียง 190,000 ไร่ ซึ่งถือว่ามาก เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นสังคมเมือง ไม่ใช่สังคมเกษตรกรรม
ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานเกษตรกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 190,000 ไร่ มีเกษตรกร 10,500 ครัวเรือน แบ่งเป็นฝั่งตะวันตก 10 เขต พื้นที่เพาะปลูก 36,500 ไร่ เกษตรกร 4,000 ครัวเรือน ฝั่งตะวันออก 16 เขต พื้นที่เพาะปลูก 155,000 ไร่ เกษตรกร 6,300 ครัวเรือน
ในจำนวนพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 129,000 ไร่ เกษตรกร 4,000 ครัวเรือน ไม้ผลและไม้ยืนต้น จำนวน 7,400 ไร่ เกษตรกร 2,900 ครัวเรือน พืชผัก 4,100 ไร่ เกษตรกร 900 ครัวเรือน ไม้ดอกไม้ประดับ 5,500 ไร่ เกษตรกร 870 ครัวเรือน กล้วยไม้ 9,900 ไร่ เกษตรกร 300 ครัวเรือน หญ้าปูสนาม 1,800 ไร่ เกษตรกร 340 ครัวเรือน (กล้วยไม้และหญ้าปูสนาม แยกออกจากไม้ดอกไม้ประดับ เนื่องจากเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ)
เกษตรกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์อีกว่า พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพมหานครคือ ข้าว กล้วยไม้ หญ้าปูสนาม และพืชผัก เช่น พื้นที่การเกษตรฝั่งตะวันออก ได้แก่ หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง คลองสามวา เป็นพื้นที่ลุ่ม มีการทำนาข้าวมากกว่าพื้นที่อื่น ส่วนพื้นที่การเกษตรฝั่งตะวันตก ได้แก่ หนองแขม ภาษีเจริญ ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน จะพบว่ามีการปลูกไม้ดอกจำพวก กล้วยไม้ จำปี ดอกรัก ดาวเรือง เตย รวมถึงพืชผัก และเป็นพื้นที่ยกร่องสวนเป็นส่วนมาก
“จากการประเมิน น่าจะอีกหลายสิบปีกว่าพื้นที่เกษตรกรรมในกรุงเทพมหานครจะหมดไป แต่เชื่อว่า มีหน่วยงานหลายฝ่ายต้องการให้พื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่สีเขียวไม่หมดไปจากกรุงเทพมหานครแน่นอน เท่าที่ทราบนโยบายการวางผังเมืองของกรุงเทพมหานคร ก็เป็นแผนหนึ่งที่จะเก็บพื้นที่สีเขียวไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีนโยบายกำหนดและควบคุม เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่สีเขียวลดลงไปมากกว่าเดิม แต่การเปลี่ยนมือเจ้าของพื้นที่เกษตรกรรมไปเป็นอย่างอื่น ก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล อีกทั้งสังคมเมืองในปัจจุบันก็มีทีท่ารุกพื้นที่เกษตรมากขึ้นตลอดเวลา”
เมื่อถามถึง ผลผลิตทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพมหานคร คุณดวงเดือน บอกว่า ส้มเขียวหวานบางมด ยังคงเป็นไม้ผลที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพมหานคร และหลงเหลือพื้นที่ปลูกอยู่ แม้จะไม่มากแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังมี ทุเรียนบางขุนนนท์ ซึ่งปัจจุบันไม่หลงเหลืออีกแล้ว จะมีก็เพียงต้นทุเรียนบางต้นที่มีไม่กี่ครัวเรือนในละแวกบางขุนนนท์ ปลูกภายในบริเวณบ้าน เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์ไว้ แต่ไม่มีออกมาจำหน่าย อย่างไรก็ตาม พื้นที่เกษตรกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้กรุงเทพมหานคร เปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว เป็นการทำเกษตรกรรมควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ ได้แก่ การเปิดพื้นที่เกษตรกรรมเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดน้ำคลองลัดมะยม เป็นต้น
สำหรับปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่พบบ่อย เป็นเรื่องของราคาผลผลิตที่ผันแปรตามราคาตลาด ซึ่งส่งผลกระทบกับเกษตรกร หากราคาผลผลิตต่ำ ซึ่งสิ่งที่ช่วยเหลือเกษตรกรได้คือ การให้ความรู้ในการทำการเกษตรแบบลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าผลผลิต เช่น การทำนา ควรใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เพื่อไม่สูญเสียต้นทุนในเรื่องปุ๋ยมากเกินความจำเป็น หรือหากเป็นความต้องการด้านเมล็ดพันธุ์ หน่วยงานด้านเกษตรจะให้ความรู้เรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ ด้วยการเก็บเมล็ดพันธุ์เอง เพื่อแก้ปัญหาเมล็ดพันธุ์ขาดแคลนและมีราคาแพง เป็นต้น
คุณดวงเดือน ยกตัวอย่างการปลูกข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เข้าไปส่งเสริมการทำนาข้าวแบบลดต้นทุน โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งปัจจุบันต้นทุนการผลิตสูงถึง 5,000 บาท ต่อไร่ เมื่อนำเทคโนโลยีเข้าไปส่งเสริม จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง เหลือไม่เกิน 4,000 บาท ต่อไร่ ซึ่งนอกจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง ยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรได้ให้ความรู้และข้อแนะนำในการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยการปรับเปลี่ยนจากการทำนาปรัง เป็นการปลูกพืชใช้น้ำน้อย หรือ ปลูกพืชระยะสั้น เช่น พืชผักสวนครัว รวมถึงการให้ความรู้กับเกษตรกรในมุมของการฝึกอบรมอาชีพ เพื่อเป็นทางเลือกหากเกษตรกรต้องการมีอาชีพเสริม
เกษตรกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า แนวโน้มพื้นที่ทำการเกษตรในกรุงเทพมหานครที่น้อยลงเรื่อยๆ นั้น ทำให้สำนักงานเกษตรกรุงเทพมหานคร มองว่า เกษตรกรในพื้นที่กรุงเทพมหานครต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด โดยควรปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ ผัก กล้วยไม้ หรือเป็นพืชที่ใช้พื้นที่น้อยและสามารถดูแลได้ทั่วถึง ปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้อยู่ได้อย่างเพียงพอ
“กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้เมืองมาก ดังนั้น หากจะขายความเป็นอินทรีย์หรือออแกนิกส์คงทำได้ยาก แต่สามารถยกระดับผลผลิตให้ปลอดสารเคมี เพื่อมูลค่าผลผลิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัย ซึ่งกรุงเทพมหานครได้เปรียบต่างจังหวัดตรงที่อยู่ใกล้ตลาดใหญ่ที่สำคัญและใกล้ผู้บริโภค ดังนั้น หากผลผลิตมีคุณภาพ ปลอดภัย ก็สามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้”
คุณดวงเดือน กล่าวทิ้งท้ายว่า การตลาดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกร สำนักงานเกษตรกรุงเทพมหานคร จึงส่งเสริมให้มีตลาดเกษตรกรขึ้น โดยนำร่องที่พื้นที่แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับเกษตรกรตัวจริงนำผลผลิตมาจำหน่าย เป็นตลาดเฉพาะกิจให้กับเกษตรกรโดยเฉพาะ
สำหรับคนเมืองที่มีพื้นที่ทำการเกษตรน้อย เกษตรกรุงเทพมหานคร แนะนำว่า ควรปลูกพืชในภาชนะ ตะกร้า หรือวัสดุที่หาได้ง่ายในครัวเรือน และควรปลูกผักสวนครัว ซึ่งดูแลง่าย เช่น พริก กะเพรา โหระพา ผักบุ้ง หรือหากไม่ได้ปลูกเอง ก็ควรดูแลตนเองให้ปลอดจากสารเคมี ด้วยการล้างผักเพื่อลดสารพิษ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานเกษตรกรุงเทพมหานคร http://www.bangkok.doae.go.th