ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05046150958&srcday=2015-09-15&search=no
| วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607 |
ผักในบ้านของคนขี้เกียจ
เชตวัน เตือประโคน
เมนูกะเพรา เขาว่าสิ้นคิด (แต่คิดถึงเป็นสิ่งแรก)
“เมนูสิ้นคิด” เป็นคำที่ไม่รู้ว่าที่อื่นจะเรียก “ข้าวกะเพรา (ไก่-หมู-หมึก-กุ้ง)” เหมือนกันหรือเปล่า
เพราะสำหรับผม เมื่อครั้งอาศัยอยู่ในหอพัก ในฐานะนิสิตคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ด้วยความที่ต้องฝากท้องไว้ที่โรงอาหารของสถาบัน ทั้งอาหารมื้อเช้า เที่ยง และเย็น หลายคนมักเรียกรายการอาหารกันติดปากอย่างนี้
กินบ่อยๆ เจ้าเดิมๆ ซ้ำๆ เมื่อคิดอะไรไม่ออก หัวสมองจึงแล่นปรู๊ดไปที่ เมนู “ข้าวกะเพรา”
“กะเพราไก่จานหนึ่งครับ”
“กะเพราหมูกล่องหนึ่งค่ะ”
เมื่อสั่งบ่อยเข้าก็เลยเรียกกันติดปาก เข้าใจตรงกันว่าเป็น “เมนูสิ้นคิด” ช่างไม่เป็นธรรมเลยกับพืชผักอย่างกะเพรา
เพราะหากมองมุมกลับ เราจะพบว่า เมื่อคิดไม่ออกสำหรับอาหารรายการอื่น การที่เมนูกะเพราปิ๊งวาบขึ้นมาเป็นลำดับแรกนั้น น่าจะหมายความว่า นี่คือ อาหารสำคัญ
น่าจะพิเศษกว่าการตกอยู่ในสถานการณ์ “สิ้นคิด”
คิดดูสิ หากวันหนึ่งโลกสิ้นไร้ใบกะเพรา ในขณะที่เราต้องยืนเกาหัวแกร๊กๆ หน้าร้านอาหารตามสั่ง จะหวังพึ่งเมนูใดได้…
คุ้นเคยกับ ข้าวกะเพรา (ไก่-หมู-หมึก-กุ้ง) เช่นเดียวกับเพื่อนๆ อีกหลายคน
และก็เป็นคนแรกๆ ที่เปรยว่า อาหารชนิดนี้ไม่น่าจะทำยาก หากมีกล้ากะเพราเพาะไว้ โรยไว้ในกระถางหลังหอพัก คงเติบโตได้ง่ายอยู่หรอก ค้นข้อมูลมาก็พบว่าเก็บกินได้ 4-5 ปี เรียนจบพอดี๊พอดีเลย
แต่จนแล้วจนรอด นักศึกษาผู้แขวนตัวอยู่ในตึกพัก/หอพัก อย่างผมและเพื่อนก็ไม่เคยได้ทำตามฝัน
จึงปวารณาตัวเลยว่า หากมีที่ทางและเวลาเอื้ออำนวย พืชผักชนิดแรกที่ผมอยากปลูกไว้ในบ้านคือ “กะเพรา”
คิดง่ายๆ ว่า เมื่อไม่รู้จะทำกับข้าวอะไรกิน (หรือไม่มีคนทำกับข้าวให้กิน) เพียงแค่เดินไปเด็ดใบกะเพรามาสัก 1 กำมือ โขลกพริก ตำกระเทียม แล้วนำลงไปเจียวพร้อมกัน
จากนั้นตามด้วยหมูสับ เหยาะน้ำตาลนิด น้ำปลาหน่อย ปล่อยใบกะเพราลงไปคลุก แค่นี้ก็ได้เมนูอาหารจานเด็ด เป็นอันเสร็จภารกิจไป 1 มื้อ
ผักอย่างกะเพราปลูกไม่ยาก
ที่ยากคือ ตอนเริ่มต้นและคิดว่าจะต้องลงมือปลูก
อย่างผมเอง ตั้งใจจะปลูกกะเพราเป็นผักสวนครัวอย่างแรก แต่พอเอาเข้าจริงกลับเป็นพืชผักชนิดอื่น และก็ทอดเวลามาเนิ่นนานมากกว่าจะได้มีกะเพราไว้ในครอบครอง
เป็นผลงานของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมที่บ้าน
เขาไปเดินตลาดใกล้ๆ ออฟฟิศ และไม่รู้ว่า “สิ้นคิด” หรือ “ติดใจ” รายการอาหารอย่างกะเพรา จึงได้ซื้อต้นพันธุ์เอามาฝากเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่
ได้มาปุ๊บผมก็เริ่มจัดแจงปลูกทันที
หลายคนอาจปลูกลงกระถาง แต่สำหรับผมอยากได้ต้นกะเพราที่แข็งแรง แตกกิ่งก้านสาขาได้ใหญ่กว้าง ที่สำคัญคือปลูกครั้งเดียวและอยู่ได้นานๆ ตามธรรมชาติคนขี้เกียจ
จึงนำลงดินปลูกทันที
ขุดดินในมุมที่แดดสาดส่องถึง รองพื้นด้วยปุ๋ยคอก หรือดินก้ามปู จากนั้นก็ลงต้นกะเพรา รดน้ำในช่วงแรกๆ เช้า-เย็น พอต้นแข็งแรงดีแล้วเปลี่ยนมาเป็นวันเว้นวัน
ไม่ยากครับ-ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเยอะ เพียงแค่เลือกทำเลทองในทิศทางที่มีแดดส่องทั้งวัน และก็หมั่นเด็ด หมั่นเก็บยอดกะเพราเสียหน่อย แค่นี้ก็แตกกิ่งก้านมากมายแล้ว
เดือนกว่าๆ ก็สามารถเก็บมากินได้
หรือใครจะสถาปนาตนเป็นคนขายอาหารรายการสิ้นคิดก็ไม่ว่ากัน
…
กะเพราที่นิยมปลูก ส่วนใหญ่มีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราขาว และกะเพราแดง
ต่างกันก็ตรงสีนั่นแหละ โดยกะเพราขาวนั้นไม่ว่าจะส่วนกิ่ง ก้าน ใบ และดอก จะเป็นสีเขียวอ่อน ขณะที่กะเพราแดงก็จะออกสีม่วงๆ แดงๆ
มีกะเพราอีกชนิดหนึ่งที่รสกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อนกว่า นั่นคือ กะเพราป่า ที่สามารถพบได้ตามป่าดิบเขา รวมถึงที่รกร้างว่างเปล่า
ระยะหลังๆ นั้น นิยมนำมาปลูกกันเป็นพืชผักสวนครัวด้วย (พ่อครัวผู้นิยมทำกับแกล้มในวงสุรา บอกว่า “เผ็ดร้อน” กลิ่นแรง และสะใจดีนัก)
เมื่อไม่นานเท่าไหร่นัก เคยมีข่าวการค้นพบกะเพราสายพันธุ์ใหม่ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย
โดยคณะสำรวจของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกว่า เป็นพืชหายาก และใกล้สูญพันธุ์
ตั้งชื่อว่า “กะเพราศักดิ์สิทธิ์” เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร. ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยาน (เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ จังหวัดน่าน)
กะเพราศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่ตามดินตื้นๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง
ลักษณะลำต้นเป็นเหลี่ยม กิ่งมีขนสั้น นุ่ม ใบเดี่ยวเรียงตรงสลับตั้งฉาก แผ่นใบมีขนสาก ด้านบนออกดอก และติดผลเดือนตุลาคม-ธันวาคม มีกลิ่นเหมือนกะเพราทั่วไป แต่ไม่ฉุนเท่า
หากแต่ยังไม่มีการยืนยันว่ากินได้หรือไม่นะครับ
ไม่งั้นเชื่อสิ อาจสูญพันธุ์เร็วขึ้นก็เป็นได้