ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083150958&srcday=2015-09-15&search=no
| วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607 |
หมอเกษตร ทองกวาว
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
11 วัน ในอินเดีย เสี้ยวหนึ่งที่ได้เห็นมา
ปักษ์นี้ ผมจะพาท่านไปเยือนอินเดีย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อไปกราบสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ด้วยระยะทางกว่า 2,500 ไมล์ ผ่านรัฐพิหาร และอุตตรประเทศ ข้ามพรมแดนเข้าไปยังประเทศเนปาล ผมต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางไกลครั้งนี้ เป็นเวลา 2 ปี สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลรายละเอียดในแง่มุมต่างๆ ของอินเดีย เพื่อจะได้รู้จักอินเดียมากยิ่งขึ้น
มารู้จักอินเดียกันก่อน แรกเริ่มจากการกำเนิดอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เมื่อ 2,000 ปี ก่อนปีพุทธศักราช ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน กลุ่มชาติพันธุ์นี้ เรียกว่า ดราวิเดียน มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ ผมหยิก จมูกแบน เรียกว่า มิละขะ มีการสร้างผังเมือง และระบบการระบายน้ำอย่างเป็นระบบ ต่อมาอีก 1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช มี ชนเผ่าอารยัน ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย บางตำราระบุว่าเป็นชาวกรีก มีรูปร่างใหญ่โต ผิวขาว จมูกโด่ง เรียกว่า อะริยะกะ รู้จักใช้ม้าในการขนส่งและทำสงคราม ใช้เหล็กกล้ามาทำอาวุธ เข้ายึดครองแล้วจับชนเผ่ามิละขะมาเป็นทาส ชนเผ่าอะริยะกะนี้ ให้ความสำคัญกับโค กระบือ โดยใช้เป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวย มั่งคั่งของผู้คนในสังคม ซึ่งมีอิทธิพลทำให้โค และกระบือ เป็นสัตว์ที่มีไว้สำหรับเคารพบูชา และยังคงรักษาความเชื่อนี้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
ความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรม เมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมดา ประมาณปีพุทธศักราช 700 เศษ มีกลุ่มมุสลิมเติร์ก ที่เข้มแข็งในการทำศึกสงคราม เข้ามารุกราน ยึดครอง แล้วย้ายเมืองไปตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรใหม่ขึ้นที่ เมืองเดลี ต่อมาขยายไปยังกรุงพาราณสี และพิหาร แล้วทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาจนเสียหายอย่างยับเยิน เติร์กกลุ่มนี้เข้าปกครองอินเดีย เป็นเวลา 184 ปี
จากนั้น มีมุสลิมกลุ่มใหม่เข้ามายึดครองแทนกลุ่มเดิม แล้วสถาปนาราชวงศ์โมกุล หรือ มองโกล ขึ้นมาใหม่ มีการสร้างสุเหร่า และพระราชวังที่ใหญ่โตสวยงาม ได้นำเอาวัฒนธรรมและความเชื่อของฮินดู และอิสลามมาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นศาสนาซิกข์ ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถลบความเป็นฮินดูออกไปจากอินเดียได้ ราชวงศ์โมกุล ปกครองอินเดีย เป็นเวลา 300 ปี
เข้าสู่ยุคการล่าเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจตะวันตก อังกฤษ เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด เข้ายึดครองอินเดียได้เบ็ดเสร็จ แล้วสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ขึ้นเป็นจักรพรรดินี แห่งอินเดีย พร้อมทั้งตั้งผู้สำเร็จราชการเมืองขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2413 การเข้ามาของอังกฤษ ก็เพื่อนำทรัพยากรของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งเกลือทะเล อัญมณี และสมุนไพร ส่งกลับไปบำรุงบำเรอประเทศแม่ โดยไม่หวั่นต่อความรู้สึกของเจ้าของประเทศแม้แต่น้อย การผลิตเกลือเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน อังกฤษยังไม่ยอมให้ทำ จะอนุญาตให้ทำก็ต่อเมื่อจ่ายภาษีเกลือในอัตราแพงลิบลิ่ว ผลจากการกดขี่ชาวอินเดียจากอังกฤษ
มหาตมะ คานธี ได้ฉายแววเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียปรากฏให้เห็น ท่านได้ต่อสู้แบบ อหิงสา เพื่อปลดปล่อยประเทศอินเดีย จากการยึดครองของอังกฤษ การต่อสู้อย่างทรหดอดทน ต่อเนื่องยาวนาน และยืดเยื้อ อังกฤษก็หลอกล่ออยู่ตลอดเวลา แม้ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 อังกฤษต้องการกำลังพลจากอินเดียไปช่วยรบ ปรากฏว่า เยาวชนชาวอินเดียแย่งกันเข้ามาเป็นอาสาสมัครกันอย่างล้นหลาม เพราะหวังว่าอังกฤษจะเห็นใจ และให้เอกราชเร็วขึ้น แต่แล้วหลังสงครามสงบ อังกฤษก็เมินเฉย ชาวอินเดียต้องร่วมกับ ท่านมหาตมะ คานธี ดำเนินการต่อสู้ด้วยความอดทนต่อไปอีก จนในที่สุดอังกฤษต้องปลดปล่อยอินเดียให้เป็นอิสระ ด้วยผลจากการต่อสู้ของอินเดียเอง และสังคมโลกเข้ามาร่วมมีบทบาทในการกดดันรัฐบาลอังกฤษไปพร้อมกัน แล้วในปี พ.ศ. 2493 อินเดียจึงได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของอังกฤษ ได้ใช้กลยุทธ์ในการแบ่งแยกแล้วปกครอง ด้วยวิธีการยุแหย่ให้ชาวฮินดูกับมุสลิมทะเลาะกัน ส่งผลทำให้อินเดียต้องแบ่งออกเป็น 3 ประเทศ ในเวลาต่อมาคือ อินเดีย ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู 2. ปากีสถานตะวันตก ต่อมาเปลี่ยนเป็นปากีสถาน และ 3. ปากีสถานตะวันออก เปลี่ยนเป็น บังกลาเทศ 2 ประเทศหลัง ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ระหว่างการอพยพผู้คน ชาวฮินดูกลับอินเดีย ชาวมุสลิมอพยพไปยังปากีสถานและบังกลาเทศ เกิดการทำร้ายซึ่งกันและกัน มีบันทึกไว้ว่า มีผู้เสียชีวิตนับล้านคนตราบเท่าทุกวันนี้ อินเดียกับปากีสถาน ยังเกิดกรณีพิพาทกันอยู่เป็นประจำ
ย้อนมาเล่าเรื่อง ท่านมหาตมะ คานธี อีกครั้ง ด้วยท่านมีความตั้งใจและปรารถนาไม่ต้องการเห็นความแตกแยกของชาวฮินดู กับชาวมุสลิม แม้ตัวท่านเป็นฮินดูก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยเอนเอียงมาทางฮินดูอย่างขาดเหตุและผล ท่านให้ความเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้เยาวชนหัวรุนแรงโกรธแค้น ใช้อาวุธปืนยิงท่านมหาตมะ คานธี จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ต่อมาฆาตกรถูกประหารชีวิตด้วยวิธีแขวนคอ
อินเดีย ยุคปัจจุบัน มีประชากร ประมาณ 1,200 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีนนั้น ประชากร 72 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาฮินดู มองไปที่การเกษตรในระดับครัวเรือนของรัฐพิหาร และอุตตรประเทศ ก็น่าจะคล้ายกับรัฐอื่นๆ ชาวบ้านทั่วๆ ไป นิยมเลี้ยงโค กระบือ ไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อใช้แรงงาน รีดนมมาบริโภค มูลสัตว์นำมาคลุกเคล้ากับหญ้า หรือฟางสับ แล้วปั้นเป็นแผ่นแปะตามฝาบ้าน หรือทำเป็นท่อน ตากแห้งเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มอาหารในครัวเรือน ช่างพอเพียงจริงๆ บริษัทขายแก๊สหุงต้มหมดโอกาสทำมาหากินกัน
สิ่งที่สะดุดตาของผู้พบเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ อาคารบ้านเรือนในชนบท มักปลูกสร้างด้วยอิฐเปลือย หลังคาทำเป็นพื้นเรียบ ใช้เป็นลานตากข้าวและพืชผลทางการเกษตร มีเหล็กผูกเป็นโครงเสาไว้ เมื่อลูกหลานแต่งงานมีครอบครัว ก็จะต่อเติมเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไปตามความเหมาะสม
รถตุ๊กตุ๊ก พบมากตามหัวเมืองใหญ่ๆ มีไว้บริการผู้คนเหมือนบ้านเรา มีคนเล่าว่า รถตุ๊กตุ๊กของอินเดีย ส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซียในแต่ละปีจำนวนไม่น้อย ความจริงแล้วอินโดนีเซียน่าจะนำเข้าจากไทยมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กัน แต่ด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบได้ ที่ต้องนำเข้าจากอินเดียที่อยู่ห่างไกล
ขอทานรุ่นเยาว์ สร้างความรำคาญใจแก่แขกผู้มาเยือน โดยเฉพาะคนไทยใจดี หากสังเกตให้ดีจะพบว่า เด็กขอทานเหล่านี้ไม่ยากจนจริง ขอได้เท่าไรก็นำกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้าน แต่ถ้าจะมองโลกในแง่ดี ก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง คือทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับขอทานทั้งหลาย ที่พบได้ทุกหนแห่ง พวกเราจะได้รับเกียรติให้เป็นมหาราชา กับมหารานีถ้วนหน้า
ปักษ์นี้ขอจบเพียงนี้ก่อน โอกาสต่อไปผมจะพาท่านไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ในระยะทางไม่น้อยกว่า 2,500 ไมล์ โปรดติดตามครับ
(อ้างอิง จากหนังสือ ใหม่ทันสมัย ทวีปเอเชีย ศิริวรรณ คุมโห้, 2552. และ ประวัติศาสตร์อินเดีย อารยธรรมตะวันออก ที่ไม่มีวันล่มสลาย, 2554. วีระชัย โชคมุกดา)
ด้วยความนับถือ
หมอเกษตร ทองกวาว
สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ร่วมกับ Crop Life ASIA จัดสัมมนา ทิศทางพืช จีเอ็มโอ
น่าจะเปิดทางให้มีการทดสอบในประเทศไทย ในระดับไร่นาได้
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้เข้าฟัง 200 คน นายวิชา ฐิติประเสริฐ (ที่ 3 จากซ้าย) อดีตผู้อำนวยการ สำนักควบคุมพืชและปัจจัยการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ เคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จตุจักร กรุงเทพฯ