กางแผน‘ประหยัดน้ำ’ภาครัฐ-ปชช.ฝ่าวิกฤติภัยแล้งเมืองกรุง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160307/223675.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559
กางแผน‘ประหยัดน้ำ’ภาครัฐ-ปชช.ฝ่าวิกฤติภัยแล้งเมืองกรุง

กางแผน“ประหยัดน้ำ” ภาครัฐ-ปชช.ฝ่าวิกฤติภัยแล้งเมืองกรุง สำนักข่าวเนชั่น โดย ธนัชพงศ์คงสาย@tanatpong_nna

            ลุกลามอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติการณ์ภัยแล้งที่เริ่มรุนแรงในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ ซึ่ง “คำเตือน” จากหลายหน่วยงานก่อนหน้านี้ ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ในปีนี้ประเทศไทยจะเผชิญสภาวะอากาศ “แห้งแล้ง” กว่าทุกปี เน้นไปที่ตัวชี้วัดปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่ระบายน้ำมาพื้นที่ตอนล่าง ยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ประเมินสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2559 มีแนวโน้มจะรุนแรงโดยมีจุดเสี่ยงทั้ง 26 เขต ตั้งแต่หนองจอก ลาดกระบัง คลองสามวา ประเวศ สะพานสูง บึงกุ่ม บางกะปิ คันนายาว มีนบุรี สายไหม บางเขน ดอนเมือง หลักสี่ ลาดพร้าว วังทองหลาง สวนหลวง ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน จอมทอง บางขุนเทียน บางแค หนองแขม บางบอน ทุ่งครุ ภาษีเจริญ และราษฎร์บูรณะ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพปลูกข้าว “นาปรัง” หรือพืชที่ใช้น้ำเป็นจำนวนมาก เป็นกลุ่มใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกๆ

ขณะที่การใช้น้ำของประชาชนในบางพื้นที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบนั้น การประปานครหลวง (กปน.) อาจจะปรับแผนการจ่ายน้ำให้เป็นเวลา เพื่อเตรียมน้ำสำรองกรณีน้ำดิบขาดแคลนฉุกเฉิน ซึ่งเป็นมาตรการคู่ขนานที่ กทม.ออกแผนให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามแผน “อดออมน้ำ” 5 เรื่องหลักประกอบด้วย 1.มาตรการประหยัดน้ำ กำหนดให้ทุกหน่วยงาน กทม.จัดตั้งคณะทำงานและทำแผนปฏิบัติเพื่อประหยัดน้ำได้อย่างน้อยร้อยละ 20 จากร้อยละ 10 2.มาตรการตรวจสอบการสูญเสียน้ำจากการรั่วไหลของระบบประปาและอุปกรณ์ภายในหน่วยงาน กำหนดให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบท่อประปาภายในหน่วยงาน เพื่อแก้ไข “จุดรั่วไหล” หรือปิดวาล์วน้ำหลังการใช้ทุกครั้ง 3.มาตรการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยมอบหมายให้สำนักการระบายน้ำสำนักงานเขต 50 แห่ง รวมถึงการใช้น้ำในสวนสาธารณะให้ “ลดการใช้น้ำ” จากแหล่งน้ำธรรมชาติและน้ำประปา โดยให้ผันมาใช้น้ำเสียที่บำบัดแล้วให้มากที่สุด

ที่สำคัญให้กำหนดพื้นที่ “โซนนิ่ง” ของโรงบำบัดน้ำเสียแต่ละแห่งในแต่ละพื้นที่เขตในกรุงเทพฯ โดยกำหนดรัศมีที่สะดวกให้สำนักงานเขตที่อยู่ในโซนนิ่งใกล้เคียงเดินทางไปรับน้ำเพื่อให้สามารถนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว นำไปใช้กิจการภายในให้เกิดความคุ้มค่า

สำหรับโซนนิ่ง “พิกัด” โรงบำบัดน้ำเสีย เพื่อเป็นศูนย์กลางการจ่ายน้ำถูกปักหมุดไว้ในพื้นที่ต่างๆ ประกอบด้วย 1.โรงควบคุมคุณภาพน้ำสี่พระยาปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 11,140 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตบางรัก ราชเทวี ธนบุรี บางคอแหลม บางกอกใหญ่ ปทุมวัน 2.โรงควบคุมคุณภาพน้ำรัตนโกสินทร์ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 17,833 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตพระนคร บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางรัก ปทุมวัน พญาไท ดุสิต ราชเทวี 3.โรงควบคุมคุณภาพน้ำช่องนนทรี ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 143,269 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตยานนาวา สาทร บางรัก บางคอแหลม คลองเตย วัฒนา 4.โรงควบคุมคุณภาพน้ำหนองแขมปริมาณ น้ำที่บำบัดได้ 121,931 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตหนองแขม บางแค ทวีวัฒนา 5.โรงควบคุมคุณภาพน้ำทุ่งครุ ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 61,750 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ บางขุนเทียน

6.โรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 219,093 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตดินแดง ห้วยขวาง ราชเทวี ปทุมวัน ดุสิต วังทองหลาง วัฒนา พญาไทจตุจักร บางซื่อ 7.โรงควบคุมคุณภาพน้ำจตุจักร ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 98,904 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตจตุจักร บางซื่อ พญาไท ดินแดง ห้วยขวาง ลาดพร้าว วังทองหลาง ดุสิต 8.ศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางซื่อ ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 113,252 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตบางซื่อ จตุจักร พญาไท ดุสิต บางพลัด ห้วยขวาง 9.บึงพระราม 9 ปริมาณน้ำที่บำบัดได้ 80,000 ลบ.ม.ต่อวัน มีสำนักงานเขตในรัศมี 5 กิโลเมตร ประกอบด้วย เขตห้วยขวาง วัฒนา สวนหลวง บางกะปิ วังทองหลาง ดินแดง

ส่วนมาตรการที่ 4 เป็นการลดผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรนั้น จะมอบหมายให้ “สำนักพัฒนาสังคม” เดินหน้าให้ความรู้การปลูกพืชใช้น้ำน้อย อาทิ เมล่อน แตงไทย และถั่วเขียว ตามแผนปฏิบัติแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่การเกษตร และ 5.มาตรการประหยัดการใช้น้ำทุกภาคฝ่าย โดยระดมประชาสัมพันธ์การประหยัดน้ำให้ครอบคลุมการใช้น้ำในชีวิตประจำวันของประชาชน ตั้งแต่การอาบน้ำโดยใช้ฝักบัวที่มีรูฝักบัวขนาดเล็กการแปรงฟันโดยใช้แก้วรองน้ำในการบ้วนปาก และแปรงฟันไม่ปล่อยน้ำไหลจากก๊อก การโกนหนวดโดยใช้แก้วรองน้ำล้าง มีดโกนหนวดใช้กระดาษเช็ดหน้าก่อนใช้

นอกจากนี้ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งส่วนหน้า” จำนวน 2 จุด 1.ฝั่งกรุงเทพตะวันออกที่สำนักงานเขตมีนบุรี และ 2.ฝั่งกรุงเทพตะวันตกที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 9 ฝั่งธนบุรี เขตราษฎร์บูรณะ ให้ทั้ง 2 แห่ง เป็นศูนย์กลางประสานงานและช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยจัดเตรียมแท็งก์น้ำสเตนเลสขนาดความจุ 300 ลิตร จำนวน 41 ถัง และความจุด 550 ลิตร จำนวน 85 ถัง แท็งก์น้ำเหล็กขนาดความจุ 1,600 ลิตร จำนวน 34 ถัง ไว้สนับสนุนหากได้รับการร้องขอจากสำนักงานเขต ขณะเดียวกันสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.จะเตรียมรถบรรทุกน้ำรถดับเพลิงเจ้าหน้าที่ทั้ง 35 สถานีเพื่อเตรียมความพร้อมตลอดฤดูแล้งในปีนี้

“สมพงษ์ เวียงแก้ว” ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กทม.ประเมินสถานการณ์ภัยแล้งในกรุงเทพฯ ว่า ยังน่าเป็นห่วงมาตั้งแต่เดือนมกราคมเพราะขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ อาทิ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังมีปริมาณน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะมีปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาใช้อุปโภคบริโภคหรือน้ำที่ใช้สำหรับระบบนิเวศ ซึ่งในกรุงเทพฯและจ.นครปฐมยังอยู่ในเขตพื้นที่เฝ้าระวังจะมีน้ำน้อย ส่วนการช่วยเหลือเกษตรกร กทม.จะใช้วิธีสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่คลอง โดยผันน้ำเข้าสู่คลองบางเขน เพื่อให้เชื่อมต่อคลองลาดพร้าวและคลองแสนแสบ ขณะที่ฝั่งตะวันตกจะผันน้ำจากคลองมหาสวัสดิ์ ส่วนจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะผันเข้าสู่คลองชักพระ และคลองฉิมพลี

“ขณะที่การจะถ่ายเทไหลเวียนน้ำหรือเปิดรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาในคลองเพื่อช่วยในการเจือจางความเน่าเสียก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะทำให้น้ำเค็มไหลเข้ามาตามคลองในพื้นที่กรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น แต่สำนักการระบายน้ำจะนำน้ำจากแหล่งน้ำที่เก็บกักไว้หรือในแก้มลิงที่ยังพอมีอยู่ใช้หมุนเวียนไล่น้ำเสียให้ได้มากที่สุดและเพื่อรักษาระบบนิเวศไปจนถึงต้นฤดูฝนปีนี้ โดยจากการประสานข้อมูลกับกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ปริมาณฝนในปีนี้ค่อนข้างมากกว่าปีที่แล้ว ดังนั้นในระยะนี้ที่ยังไม่เข้าสู่ฤดูฝน กทม.ต้องหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรให้ผ่านช่วงฤดูแล้งไปให้ได้” นายสมพงษ์ระบุ

ทั้งหมดจึงเป็นแผนรับมือและคำเตือนจากภาวะ “ภัยแล้ง” ที่จะเกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ ซึ่งทุกฝ่ายต้องสร้างสำนึกแห่งการร่วมมือ “ประหยัดน้ำ” และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ เพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤติภัยแล้งครั้งนี้ แต่หากทุกฝ่ายยังไม่ยอม “เปลี่ยน” พฤติกรรมการใช้น้ำ ปัญหาภัยแล้งที่มีการคาดการณ์ว่าจะรุนแรง อาจจะสายเกินแก้ในที่สุด

Leave a comment