ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05126011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608 |
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
รศ.ดร. บุญยงค์ เกศเทศ
การละเล่น “วัวลาน” หรือ “วัวระดอก” กีฬาพื้นเมืองของนักเลงวัวเมืองเพชร
ผมจำได้ว่า เมื่อสมัยเป็นเด็ก คราลมหนาวโชยมาเอื่อยๆ พ่อ แม่ คุณน้า คุณอา นิยมทำลานนวดข้าวไว้ที่ทุ่งนา ใกล้บริเวณที่วางฟ่อนข้าวซึ่งเรียงลำดับไว้สูงท่วมหัว เรียกกันว่า “ลอมข้าว” เมื่อทำลานเสร็จ แห้งสนิทดีแล้ว จึงนำฟ่อนข้าวมาเรียงจากโคนเสากลาง ซึ่งเรียกว่า “เสาเกียด” ออกมาจนเกือบสุดลาน และทำเช่นนี้เรื่อยไปจนฟ่อนข้าวหนาจากพื้นลานราวครึ่งค่อนเมตร
วิธีการนวดข้าวก็ใช้วัวเป็นเครื่องผ่อนแรงช่วยนวด ซึ่งนิยมปฏิบัติกันในคืนเดือนหงาย จันทร์กระจ่างฟ้า อากาศเย็นสบาย ชาวนาต่างทำลานพื้นเรียบ โดยใช้ดินเหนียวผสมแกลบ น้ำ และมูลวัว คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ค่อนข้างเหลว ก่อนจะเทฉาบไล้ไปบนผืนดินที่ถากหญ้าปรับแต่งพื้นให้เรียบไว้แล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องขุดหลุมปักเสาไม้เนื้อแข็งไว้ตรงกลาง เป็นจุดศูนย์กลาง มีรัศมีโดยรอบราว 6-10 เมตร จากนั้นจะผูกวัวเรียงเป็นแถวหน้ากระดานไว้กับเสาเกียด นิยมใช้วัวราว 5-7 ตัว ขึ้นอยู่กับความกว้างของพื้นลาน
วัวที่ผูกราวคานอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางไม่ต้องใช้กำลังและฝีเท้ามาก เพราะเดินอยู่ในช่วงหมุนรอบสั้นวนเป็นรอบไปเรื่อยๆ แต่วัวตัวที่อยู่ปลายคานนอกสุด อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลาง ระยะทางที่ต้องเดินจะไกลกว่า จำเป็นต้องเลือกวัวตัวที่มีกำลังและฝีเท้า ด้วยเหตุที่วัวทุกตัวต้องเดินเหยียบย่ำไปบนฟ่อนข้าว หมุนรอบเสาเกียดไปหลายรอบ จนเมล็ดข้าวเปลือกหลุดออกจากรวงข้าว
เมื่อพิจารณาดูเห็นว่า เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงข้าวแล้ว สังเกตจากฟางที่วัวย่ำเหยียบเริ่มปลิวกระจายตามแรงเท้าของวัว แสดงว่า เมล็ดข้าวได้กองอยู่บนพื้นลานเรียบร้อยแล้ว เป็นอันเสร็จภารกิจของวัว จึงแก้เชือกวัวออกจากราวคาน จูงวัวออกมาพัก
จากนั้นจะใช้ไม้ขอฉาย หรือ คันฉาย เป็นไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะมือ มีตาหรือกิ่งติดอยู่ปลายไม้ยาวสักคืบหนึ่งมาเกี่ยวโยงฟางกวัดเหวี่ยงสลัดเมล็ดข้าวที่ติดค้างอยู่ให้หลุดร่วงอีกครั้ง ก่อนจะโกยฟางไปกองไว้ด้านนอกลาน ก็จะเห็นเมล็ดข้าวนอนเรียงอยู่บนพื้นลาน สะดวกในการเก็บเอามาฝัด จนเศษฟางร่วงออกหมด กวาดเก็บเฉพาะเมล็ดข้าวใส่กระบุง หรือกองไว้สำหรับใส่เกวียนบรรทุกกลับสู่เหย้าเรือน
จากวิถีการนวดข้าวอันเป็นปกติวิสัยของพี่น้องชาวเพชรบุรี ได้พัฒนามาสู่กีฬาการละเล่น “วัวลาน” หรือ “วัวระดอก” ด้วยเห็นว่าเสร็จหน้านาแล้ว กว่าจะถึงฤดูกาลเพาะปลูกหว่านดำก็ต้องรอให้เข้าหน้าฝนเดือนหก เดือนเจ็ด วัวอาจต้องพักนานเกินไป
สนามแข่งขันวัวลานนั้นต้องเป็นลานดิน มีลักษณะทรงกลม ขุดหลุมฝัง “เสาเกียด” ไว้ตรงกลางลาน ใช้เชือกห่วงและเชือกพวนคล้องไว้ที่เสาเกียด สำหรับผูกวัว ปัจจุบัน นิยมใช้ยางนอกรถยนต์เป็นเชือกห่วง ส่วนเชือกพวนคือ เชือกคานที่ทาบคอวัวผูกติดกันไว้เป็นราว ซึ่งต้องนำไปผูกกับเชือกห่วงอีกทีหนึ่ง จากเสาเกียดวัดเส้นรัศมี ราว 20-25 เมตร นั่นหมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 40-50 เมตร บริเวณริมสนามด้านใดด้านหนึ่งต้องสร้างหอคอย สูงประมาณ 3-5 เมตร เพื่อให้คณะกรรมการและโฆษก จำนวน 3-5 คน นั่ง
สำหรับวัวที่ใช้วิ่งแข่งขันวัวลานมีอยู่ 3 ส่วน แต่ละส่วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ส่วนแรก เป็นวัวที่ต้องเพ่งมองไม่กะพริบตา คือ “วัวนอก” เป็นวัวตัวที่ 19 หรือตัวสุดท้าย ที่ผูกอยู่ปลายเชือกพวน จะต้องคัดเลือกวัวที่มีพละกำลัง มีความแคล่วคล่องว่องไวและฉลาดปราดเปรียวเป็นเลิศ เพราะจะต้องวิ่งชนะบรรดาวัวในทั้งราวคานให้ได้
ส่วนที่สอง เป็น “วัวใน” คือกลุ่มวัวที่อยู่ถัดจากวัวนอกเข้ามาในราวคาน 3 ตัว (ตัวที่ 16, 17 และ 18) จะต้องเลือกวัวตัวที่มีฝีเท้าดี มีพละกำลังดีเช่นกัน และ
ส่วนที่สาม เป็น “วัวคาน” คือวัวที่อยู่เรียงชิดติดอยู่กับวัวใน ตัวที่ 15 เข้าไปถึง ตัวที่ 1 ซึ่งอยู่ชิดกับเสาเกียด วัวกลุ่มนี้มีหน้าที่ช่วยพยุงวัวนอกและวัวในให้แข่งขันกันเต็มกำลัง อย่างไรก็ดี ทั้งวัวนอกและวัวใน ตลอดจนวัวคาน ต้องเป็นวัวพันธุ์ไทยเพศผู้เท่านั้น นักเลงวัวตัวจริงต้องดูจากสายเลือดทั้งพ่อและแม่ก่อนจะผสมกัน
ครั้งถึงเวลาแข่งขันก็มีอยู่เพียง 2 ฝ่าย คือ “ฝ่ายวัวรอง” หรือ “วัวใน” คือวัวลำดับที่ 15-18 นับจากเสาเกียด และ “ฝ่ายวัวนอก” คือตัวที่ 19 หรือตัวสุดท้าย หากฝ่ายใดล้มหรือถูกลาก ฝ่ายนั้นจะถูกจับแพ้ทันที ในบางคราววิ่งกันไม่กี่รอบก็ถูกจับแพ้ แต่บางคราวอาจวิ่งได้นับเป็นร้อยๆ รอบก็มี
องค์ประกอบของการแข่งขันวิ่งวัวลาน จำเป็นต้องมี “ราวผูกวัว” เป็นเรือนโรงขนาดใหญ่รอบๆ “ลานวัว” เป็นบริเวณพื้นที่ที่ผูกวัวสำหรับเตรียมตัวจะเข้าแข่งขันวัวลาน เมื่อเจ้าของวัวนำวัวขึ้นรถไปถึงลานวัวเป็นเวลาที่พลบค่ำ เจ้าของวัวจะนำวัวลงจากรถบรรทุก นำไปผูกไว้ยัง “ราวผูกวัว” ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้จัดให้มีการเล่นวัวลานเป็นผู้จัดเตรียมไว้ ซึ่งก็จะอยู่ติดกับ “ลานวัว” นั่นเอง
ในวงการนักเลงวัวเมืองเพชร มีวงศัพท์ในการพูดถึงวัวแต่ละประเภท ดังนี้ “วัวผูก” หรือ “วัวพวง” ต้องมี 19 ตัว จึงจะครบชุดของการละเล่นในแต่ละครั้ง
ภายในกลุ่มวัวพวง จะมี “วัวสาม” เป็นวัวตัวที่ 17 คือ “วัวยืน” ตัวที่ 18 “วัวติด” ตัวที่ 19 อยู่นอกสุด วัวทั้ง 3 ตัว นี้ถือเป็นวัวแข่งขัน จำเป็นต้องเลือกวัวที่มีฝีเท้าและพละกำลังพอๆ กัน
วัวใครจะชนะหรือแพ้นั้น ต้องดูที่พฤติกรรมการวิ่งของวัวรอง หรือวัวคาน ซึ่งนับตั้งแต่ ตัวที่ 18 มาหาตัวที่ 1 ซึ่งอยู่ใกล้เสาเกียด มักเน้นเฉพาะ ตัวที่ 17 (วัวสาม) ตัวที่ 18 (วัวยืน) เพื่อแข่งขันกับวัวนอก (วัวติด) ตัวที่ 19 ถ้าวัวนอกวิ่งแซงวัวรองโดยสามารถลากวัวรองไปได้อย่างไม่เป็นขบวน ทำให้วัวรองดิ้นหลุดจากระดับแถว หรือตัวใดตัวหนึ่งล้มลง แสดงว่าวัวนอกชนะ แต่ถ้าวัวรองสามารถวิ่งแซงหรือลากวัวติดไปสุดช่วงตัว วัวติดล้ม หรือวิ่งไม่ทัน ถือว่าฝ่ายวัวรองชนะ
การแข่งขันวัวลานแต่ละครั้ง (คืน) มักมีวัวหลายร้อยตัวจากผู้เข้าร่วมหลายหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัด ซึ่งแต่เดิมเล่นกันอยู่ในวงจำกัด เฉพาะในเขตอำเภอบ้านลาด อำเภอท่ายาง และอำเภอเมือง เท่านั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันมักมีการเล่นพนันแอบแฝงอยู่ด้วย แต่ละคราวมีวงเงินหมุนเวียนนับล้านบาททีเดียว ขณะวัวที่เข้าแข่งขันก็มักถูกปฏักทิ่มแทงอย่างไม่ยั้งมือ บาดเจ็บเลือดโทรมร่าง แต่ละฝ่ายน่าจะต้องหันมาทบทวนในเรื่องนี้บ้างก็จะเป็นการดีที่ยังสามารถสืบทอดการละเล่นไว้ได้โดยไม่ผิดเพี้ยนเจตนารมณ์ของบรรพชน