ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05091011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608 |
เยาวชนเกษตร
สุจิต เมืองสุข
ทำหลักสูตรข้าว สอนเองในโรงเรียน โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เมืองชัยนาท
โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มที่เล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มวิสาหกิจที่เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ
โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท หากถามหาทางไปโรงเรียน สอบถามถึงแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตำบลนางลือ-ท่าชัย ก็จะหาได้ง่าย เพราะตั้งอยู่ใกล้เคียง ห่างกันแค่เลี้ยวซ้ายหรือขวาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ก็ยังไม่มีความโดดเด่นนัก เนื่องจากเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่มีพื้นที่เป็นของตนเอง อาศัยพื้นที่วัดไผ่โพธิ์ทองเป็นที่ตั้งอาคารเรียนและพื้นที่ใช้สอย มีการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวมจำนวนนักเรียนเพียง 69 คน เท่านั้น
อาจารย์ณัฐวัฒน์ ภู่มั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เล่าให้ฟังว่า โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทองแห่งนี้ก่อตั้งมานานกว่า 30 ปี มีอาคารเรียนชั้นเดียว 1 หลัง อาคารอเนกประสงค์อีก 1 หลัง และศูนย์เด็กเล็กขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าชัยอีก 1 หลัง ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดท่าโพธิ์ชัย ประมาณ 3 ไร่ ดังนั้น เมื่อโรงเรียนไม่มีพื้นที่บริหารจัดการของโรงเรียนเอง ทำให้ยากต่อการส่งเสริมการเรียนการสอนด้านการเกษตร แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกษตรให้กับเด็กนักเรียนภายในโรงเรียน โดยกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นใหม่ 1 หลักสูตร คือ หลักสูตรข้าว ใช้สอนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 และสอนสัปดาห์ละ 1 คาบเรียน หลังเลิกเรียน โดยให้อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้กำหนด
ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง บอกด้วยว่า เมื่อโรงเรียนไม่มีพื้นที่เป็นของตนเอง ทำให้การจัดการบริหารพื้นที่ทำได้ยากลำบาก อีกทั้งจังหวัดชัยนาทประสบปัญหาภัยแล้ง สภาพดินไม่สมบูรณ์นัก ทำให้โรงเรียนจัดแบ่งพื้นที่จาก 3 ไร่ที่ใช้สอยอยู่ ประมาณ 1 งาน ทำแปลงเกษตรสำหรับปลูกผักสวนครัว เพื่อเป็นกิจกรรมเสริม สอนในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ กลุ่มวิชาเกษตร ให้กับเด็กได้ลงแปลงจริง สัมผัสกับการปลูกต้นไม้จริง ซึ่งกำหนดให้เป็นพืชผักสวนครัว เนื่องจากเป็นกลุ่มผักที่เจริญเติบโตเร็ว ระยะเวลาการปลูกสั้น การดูแลง่าย และนำมาใช้ประกอบอาหารในชีวิตประจำวันได้ทันที
แม้ว่าสภาพพื้นที่ของโรงเรียนไม่เหมาะสมต่อการทำแปลงเกษตร แต่โรงเรียนก็เล็งเห็นจุดเด่นของพื้นที่ตั้งในเรื่องของการปลูกข้าวและการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมทั้งนักเรียนเองเกือบทั้งหมดมีพื้นฐานครอบครัวทำนา และเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ส่งให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท ดังนั้น เมื่อนักเรียนมีประสบการณ์การทำนาจากครอบครัวมาก่อนแล้ว จึงทำให้การนำหลักสูตรข้าวที่เขียนขึ้นมาประยุกต์ใช้และสานต่อได้ง่าย
หลักสูตรข้าว เพิ่งเริ่มนำมาใช้สอนให้กับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ในปีการศึกษา 2558 ที่ผ่านมา โดยหลักสูตรข้าวประกอบด้วย 5 รายวิชา คือ
1. การผลิตข้าวเบื้องต้น : วิถีชีวิต การผลิตและการแปรรูปข้าว
2. การปลูกข้าวแบบลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร
3. ข้าวกับวิถีธรรมชาติ
4. เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ข้าว
5. การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว
สำหรับการจัดการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างของเนื้อหาเป็น 5 รายวิชา ได้แก่ วิชาการผลิตข้าวเบื้องต้น เพื่อปูพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี การผลิตและการแปรรูปข้าว มีการสอดแทรกประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับข้าว และเป็นการปรับทัศนคติที่ดีต่ออาชีพการทำนา โดยรายวิชานี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนในรายวิชาอื่นต่อไป ส่วนอีก 4 รายวิชาต่อมา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีการผลิต และการแปรรูปข้าว โดยสามารถเลือกเรียนรายวิชาใดก็ได้ เมื่อผ่านรายวิชาที่ 1 แล้ว
พื้นที่ที่จำกัด ทำให้อาจารย์ณัฐวัฒน์ บอกว่า เคยคิดจะหาพื้นที่ให้นักเรียนเลี้ยงสัตว์ นอกเหนือจากการปลูกผักสวนครัวบ้าง จึงทดลองเลี้ยงเอง โดยเลือกเลี้ยงจิ้งหรีด เพราะเห็นว่าใช้พื้นที่น้อย แต่เพราะไม่มีประสบการณ์และความรู้ใดๆ จึงทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ และล้มเลิกความคิดที่จะนำจิ้งหรีดมาเลี้ยงเป็นตัวอย่างสอนในโรงเรียนให้กับเด็ก ส่วนไม้ผล พืชไร่ นั้น ต้องใช้พื้นที่ จึงไม่มีโอกาสปลูก มีเพียงกล้วยน้ำว้าไม่กี่ต้นที่ปลูกไว้ เพราะดูแลง่าย และใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น
“เด็กนักเรียนที่นี่โชคดี มีพื้นฐานการทำนา การเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว อยู่แล้ว เพราะแต่ละครอบครัวทำนาและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท จึงไม่ต้องห่วงเรื่องพื้นฐานการเกษตร เชื่อว่ามีทุกคน แม้กระทั่งเด็กนักเรียนชาวกัมพูชา ที่ย้ายตามพ่อแม่มาเรียนหนังสือ ก็มีพื้นฐานทางการเกษตรอยู่มาก เพราะพ่อแม่จะรับจ้างเพาะกล้าข้าว แต่พอหมดหน้านา พ่อแม่เด็กย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น เด็กกัมพูชาเหล่านี้ก็จะย้ายตามไปด้วย”
สำหรับแปลงผักสวนครัว พื้นที่ประมาณ 1 งาน ของโรงเรียน เป็นแปลงเกษตรให้นักเรียนได้มีโอกาสลงมือจริง นอกจากการเรียนในห้อง ซึ่งผักสวนครัวที่เลือกมาปลูก เป็นผักที่เจริญเติบโตเร็ว ทนต่อโรคและแมลง ระยะเวลาปลูกสั้น เช่น ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง กะเพรา โหระพา เป็นต้น ซึ่งผักต่างๆ เหล่านี้ เมื่อถึงระยะเวลาเก็บผลผลิตก็จะให้เด็กที่ดูแลแปลงเป็นคนเก็บ แบ่งส่วนหนึ่งเข้าโครงการอาหารกลางวัน และอีกส่วนหนึ่งให้เด็กนักเรียนที่ดูแลแปลงมาโดยตลอด นำกลับบ้านไปประกอบอาหาร เพราะถือเป็นความภาคภูมิใจของตัวนักเรียนเอง
อาจารย์ณัฐวัฒน์ บอกด้วยว่า ผลผลิตที่ได้จากแปลงผักสวนครัวไม่ได้มากมาย แม้บางส่วนจะนำเข้าไปใช้ประกอบอาหารในโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน แต่ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อย เพราะผักที่ได้มีไม่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ประโยชน์ยิ่งคือ ได้ผักปลอดสาร และเด็กมีความภาคภูมิใจในผลผลิตของตนเอง
“หลักสูตรข้าว ที่ใช้ส่งเสริมการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกระดับชั้นนั้น ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ขยายพันธุ์ข้าว นำถังดำ จำนวน 200 ถัง และเมล็ดพันธุ์ข้าว มาแจกจ่ายให้กับนักเรียนได้ทดลองปลูกข้าวด้วยตนเอง ที่เราโฟกัสไปที่ข้าว เพราะพื้นที่เรามีจุดเด่นเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และเด็กมีประสบการณ์ตรงจากที่บ้าน จึงเป็นเรื่องง่ายที่ให้เขาได้เรียนรู้”
แม้ว่า โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง จะมีข้อจำกัดหลายด้านในการส่งเสริมด้านการเกษตรให้กับนักเรียน แต่ในทุกขั้นตอนหรือกระบวนการในระหว่างที่เด็กอยู่ในโรงเรียน เมื่อสามารถโยงเข้าสู่ภาคเกษตรได้ อาจารย์ทุกท่านจะไม่รอช้า เช่น หลังรับประทานอาหาร พบว่ามีเศษข้าวเหลือจำนวนมาก หากเป็นโรงเรียนอื่นที่เลี้ยงสัตว์ไว้ก็จะนำไปให้สัตว์กิน แต่สำหรับโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทองแห่งนี้ ไม่มีพื้นที่เลี้ยงสัตว์ จึงนำข้าวที่เหลือจากการรับประทานของเด็กนักเรียน นำไปตากแดด จากนั้นนำไปคั่ว เพื่อให้ได้ข้าวตากคลุกน้ำตาล มาบรรจุถุงนำไปจำหน่ายให้กับตลาดในชุมชน เป็นการเพิ่มความรู้ด้านการแปรรูปให้กับเด็กนักเรียน และอยู่ใน 1 รายวิชา ของหลักสูตรข้าวด้วย
เด็กชายอภิศร คล้ายมะณี หรือ น้องไกด์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า ที่บ้านมีอาชีพทำนาและปลูกกะเพราขาย เมื่อมีกิจกรรมที่โรงเรียนก็ชอบการปลูกผักคะน้ามากเป็นพิเศษ เพราะปลูกง่าย การดูแลทำได้ไม่ยาก แค่รดน้ำเช้า กลางวัน และเย็น ส่วนกิจกรรมที่บ้านรักการทำนามากกว่าการปลูกกะเพรา เคยช่วยพ่อแม่ถอนวัชพืชจากแปลงนา นำกระสอบและดินไปอุดน้ำไม่ให้ไหลเข้า-ออก จากแปลงนา ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ได้ความรู้อย่างมาก
ด้าน เด็กชายกิตติธัช เวียงเป้ หรือ น้องโฟล์ค นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ที่บ้านทำนา ขายข้าวเปลือกจากแปลงนาของตนเอง มีลูกค้ามาซื้อเยอะเพื่อนำข้าวเปลือกไปหว่าน ที่ผ่านมาเคยช่วยพ่อแม่ทำนา เช่น การนำน้ำเข้า-ออกนา การดำนา ซึ่งการดำนาไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะเลอะบ้างก็สามารถล้างออกได้ และอยากบอกเยาวชนท่านอื่นๆ ว่า การทำนาไม่เหนื่อยอย่างที่คิด หากได้ลองแล้วจะติดใจ
ส่วน เด็กหญิงอาภา เชียงอินทร์ หรือ น้องพลอย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าให้ฟังว่า ที่บ้านทำนา แต่ช่วยไม่บ่อยนัก เนื่องจากสนใจการปลูกผักมากกว่า จึงให้เวลากับแปลงผักของโรงเรียน โดยนำผักบุ้งจีนมาปลูก เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย แต่ต้องการน้ำเยอะ จึงต้องดูแลรดน้ำ วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน และเย็น ก่อนกลับบ้าน แต่ถึงแม้จะไม่สนใจการทำนามากนัก ก็รู้จักขั้นตอนการทำนา และเคยลงแปลงนาถอนวัชพืชออกจากนา สำหรับวิธีสังเกตต้นข้าวและต้นหญ้า (วัชพืช) ให้ดูที่ปลายใบ จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ ต้องอาศัยประสบการณ์
สำหรับ เด็กหญิงสุธิดา แจ่มศรี หรือ น้องฟ้า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า หลงใหลในการปลูกผักมากกว่าการทำนา เพราะครอบครัวปลูกผักสวนครัวส่งขาย เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว ซึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในแปลงผักคือ การกำจัดวัชพืชที่เป็นตัวการก่อให้เกิดแมลงศัตรูพืชภายในแปลง ทั้งนี้ เห็นว่า การศึกษาหาความรู้ในเชิงเกษตร จะช่วยให้มีประสบการณ์ในการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง แม้จะเป็นโรงเรียนที่มีข้อจำกัดหลายด้าน แต่หากมีหน่วยงานให้ความสนใจและพร้อมส่งเสริมให้ความรู้ด้านการทำเกษตรภายในโรงเรียน อาจารย์ณัฐวัฒน์ ภู่มั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ยินดีรับไว้ไม่ขัดข้อง เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ในการสอนให้กับเด็กนักเรียน โดยติดต่อได้ที่ โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท โทรศัพท์ (056) 942-041