ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05018011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608 |
บันทึกไว้เป็นเกียรติ
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
“ประจัก มีลาบ” ปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ ที่ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตอนจบ)
การทำราวเชือก คุณประจัก มีลาบ อธิบายว่า การทำราวเชือกเพื่อช่วยพยุงลำต้นหน่อไม้ฝรั่งนับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ของการทำค้างก็เพื่อที่จะรักษาลำต้นเหนือดินให้อยู่ได้นานที่สุด ในช่วงเลี้ยงต้นก่อนการเก็บเกี่ยวและในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยปกติจะทำราวเชือกเมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุ 2-3 เดือน หลังจากย้ายกล้าปลูก ไม้ที่ใช้ทำค้างอาจเป็นไม้รวกหรือไม้อื่นๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว หรือเสาปูน ขนาด 1×1 นิ้ว
การปักค้าง จะปักเป็นจุด จุดละ 2 หลัก และใช้เชือกไนล่อนขนาดพอเหมาะ ขึงตามความยาวของแปลง ระยะห่างของไม้แต่ละจุดประมาณ 2 เมตร หรือแล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งการทำค้างนี้จะทำไปตลอดอายุของการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง หากไม้ค้างผุ ควรเปลี่ยนไม้ค้างอยู่เสมอ เพื่อค้ำลำต้นไม่ให้ล้มจากลมพัด เพราะต้นหน่อไม้ฝรั่งค่อนข้างสูง ถ้าต้นหักล้มส่งผลให้ต้นกระทบกระเทือน เพราะถ้าต้นล้มเสียหายย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต
ในช่วงแรก งานหลักๆ คือ การป้องกันกำจัดวัชพืช พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าหญ้า ควบคุมกำจัดวัชพืชใช้วิธีกล เช่น การเตรียมดินที่ดี การถอนด้วยมือ และวิธีเขตกรรมอื่นๆ โดยคุณประจักจะใช้การคลุมโคนและแปลงปลูกด้วยแกลบดิบให้หนา เพื่อทำให้หญ้าขึ้นน้อยลง หรือจะใช้ได้เพียงระยะแรกๆ ที่ยังไม่มีผลผลิต แต่เมื่อมีผลผลิตก็ต้องหยุดใช้ในพื้นที่ที่มีลมแรงและไม่มีแนวบังลม
การพูนโคนต้นกล้า ถ้าต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งมีเหง้าลอยพ้นดิน มักมีสาเหตุมาจากการที่หยอดเมล็ดตื้น หรือให้น้ำแบบสายยางฉีดรด หรือให้น้ำตามร่องจนชะดินลงมา ดังนั้น ควรมีการตรวจแปลงกล้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบว่าต้นกล้าที่แตกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กและเป็นฝอย รากและเหง้าเล็กลง ทำให้ได้ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ จึงควรพรวนดินกลบเหง้า (พูนโคนต้น) ต้นกล้าด้วย
การไว้ต้นแม่เหนือดิน หลังจากย้ายกล้าประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นจะงอกโผล่พ้นดิน เมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุมากขึ้น จำนวนต้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นที่งอกช่วงแรกก็จะเริ่มแก่ ถ้าไม่มีการตัดต้นออกบ้าง บริเวณกอจะแน่น มีผลทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง อีกทั้งการให้หน่อใหม่จะเล็กลงด้วย ดังนั้น ในช่วงเดือนที่ 3 หลังจากย้ายปลูก ควรมีการตัดแต่งต้นออกบ้าง และสามารถพ่นสารชีวภัณฑ์กำจัดโรคและแมลงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การตัดแต่งต้นจะทำให้มีการสะสมอาหารที่เหง้าและตามากขึ้น ทำให้เหง้าและตามีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้น การตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และมักจะทำเมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นไป
การพรวนดินและการเติมปุ๋ยในช่วงเลี้ยงต้นกล้าในแปลงหน่อไม้ฝรั่ง การพรวนดินจะทำให้บริเวณหน้าดินไม่แน่น หน่ออ่อนจะโผล่พ้นดินได้สะดวก ไม่โค้งหรือคดงอ แต่การพรวนดินต้องทำอย่างระมัดระวัง อย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งชะงักการออกหน่อได้ ต้นหน่อไม้ฝรั่งในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรก หลังจากการย้ายปลูก ควรพรวนดินและพูนโคน พร้อมทั้งเติมปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีและร่วนขึ้น ใช้ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยปรับสภาพดิน ให้เสริมเป็นระยะๆ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหน่อไม้ฝรั่งด้วย
การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ผลผลิตจะมีคุณภาพดี ช่วงย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูก ควรให้น้ำ วันละ 1 ครั้ง ทุกวัน หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพดิน อุณหภูมิฝน แปลงที่มีความชื้นสูงก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ การให้น้ำในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตต้องให้ทุกวันพอหน้าดินชื้น และเป็นไปได้ไม่ควรให้ตอนเย็น จะทำให้เกิดโรคระบาดได้ การให้น้ำในพื้นที่ดอน ระบบสปริงเกลอร์จะช่วยชะล้างโรคและแมลงบางชนิดได้ เช่น เพลี้ยไฟ เป็นต้น การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง ทนแล้งได้พอสมควร แต่ถ้าขาดน้ำหรือให้น้ำไม่สม่ำเสมอ มีผลให้ปริมาณผลผลิตลดลงอย่างมาก และคุณภาพหน่อไม้ฝรั่งไม่ดี ควรมีการให้น้ำทุกวัน ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ให้และระยะเวลาที่ให้น้ำขึ้นอยู่กับวิธีการให้น้ำ สภาพแวดล้อม (ชนิดดิน อุณหภูมิของอากาศ ความชื้นในอากาศ) หน่อไม้ฝรั่งชอบให้หน้าดินชื้น แต่ไม่ชอบให้หน้าดินแฉะและมีน้ำขัง พื้นที่ปลูกเป็นดินเหนียวผลผลิตจะไม่ดีเท่ากับพื้นที่ปลูกที่เป็นดินร่วน หลักการให้น้ำควรให้ผิวหน้าดินชื้น แต่อย่าให้จนดินแฉะ เพราะถ้าแปลงปลูกเป็นดินเหนียว จะทำให้ปริมาณผลผลิตของหน่อไม้ฝรั่งลดลง หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลผลิตดี หน่อไม้ฝรั่งที่ได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอ จะมีคุณภาพของหน่อไม่ดี โดยจะมีเส้นใย (ไฟเบอร์) มาก หน่อจะเหนียว ทำให้คุณภาพในการบริโภคจะด้อยลง
การพักต้น หลังจากเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ได้ 2 เดือน ต้นหน่อไม้ฝรั่งเริ่มโทรม ผลผลิตจะลดลงตามลำดับ จำเป็นต้องพักต้นหรือบำรุงต้นใหม่ 1 เดือน ให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งได้สะสมอาหาร แล้วพร้อมให้ผลผลิตได้เก็บต่ออีก 2 เดือน แล้วก็จะพักต้นต่อ ทำแบบนี้เรื่อยไปทั้งปี
การพักต้นนั้น คุณประจัก อธิบายว่า ตนเองจะเริ่มจากการหยุดเก็บหน่อล่วงหน้า 3 วัน แล้วดูว่าหน่อไหนสวย ต้นใหญ่สมบูรณ์ ก็จะเก็บเอาไว้เป็นต้นแม่ ต้นที่เหลือจากการคัดให้ตัดแต่งต้นโดยการถอนทิ้ง เช่น ต้นที่เหลืองและโทรม มีโรคแมลงรบกวนให้ถอนทิ้งไป จะคัดเลือกต้นใหญ่ แข็งแรง ไว้เพียง 3-5 ต้น ต่อกอ เท่านั้น เพื่อเลี้ยงไว้เป็นต้นแม่ จากนั้นจะพรวนดิน การพรวนดินจะพรวนดินไปตามยาวของแปลงปลูก ไม่ควรพรวนรอบโคนต้นหน่อไม้ฝรั่ง พรวนเพื่อให้ดินเกิดช่องว่างเพื่อเราจะเติมแกลบและปุ๋ยต่างๆ จะได้แทรกลงในช่องว่างที่ได้พรวนดินเอาไว้ ทำให้ดินร่วนซุย อีกอย่างการที่เกษตรกรเข้าไปทำงานในแปลงโดยตลอด การถอน การเก็บเกี่ยวผลผลิต สภาพดินในแปลงจะยุบตัวลงมา รากหน่อจะตื้น รวมถึงการดึงเอาแร่ธาตุในดินไปใช้ หลังการพรวนดินเกษตรกรจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพิ่มธาตุอาหารในดิน พร้อมกับพูนดินกลบโคนต้นทุกครั้ง เพื่อให้หน่อเกิดขึ้นมาใหม่มีความสมบูรณ์
การใส่ปุ๋ย คุณประจัก จะใส่ปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูป 5 ส่วน ผสมกับปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 1 ส่วน นำปุ๋ยทั้ง 2 ชนิด คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน จากนั้นจะนำไปหว่านโรยบนหลังร่องให้ทั่ว โดยพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 2 ไร่ คุณประจัก จะใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 จำนวน 1 กระสอบ (50 กิโลกรัม) ผสมคลุกเคล้ากับปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 5 กระสอบ (250 กิโลกรัม) หลังจากนั้นก็จะใส่แกลบดิบเพื่อเป็นการคลุมแปลงปรับสภาพให้แปลงร่วนซุย ให้หน่อไม้ฝรั่งได้แทงหน่อได้ง่าย ใส่ปุ๋ยเสร็จ ใส่แกลบทับก็จะให้น้ำเพื่อให้ปุ๋ยได้ละลาย
หลังจากเลี้ยงต้นแม่ให้ต้นสูงสัก 50-60 เซนติเมตร หรือสูงเลยระดับเชือกที่ขึงไว้เพื่อพยุงต้น ให้ใช้มือเด็ดยอดต้นหน่อไม้ฝรั่งทิ้งไป การเด็ดยอดนั้นทำให้ต้นแม่ของหน่อไม้ฝรั่งไม่งามใบจนเกินไป จุดประสงค์ให้มีการเจริญเติบโตที่กอด้านล่างมากกว่า เพื่อสะสมอาหารเตรียมให้ผลผลิต เมื่อใบหน่อไม้ฝรั่งเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม (ใบแก่) ก็จะให้ผลผลิตเก็บหน่อขายต่ออีกราวๆ 2 เดือน ช่วงที่พักต้น ทางใบก็สามารถเสริมด้วยฮอร์โมน อาหารเสริม น้ำหมักชีวภาพ ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
คุณประจัก แนะนำสูตรน้ำหมักว่า ตนเองจะหมักด้วยหน่อกล้วยอ่อน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม เอามีดสับให้ละเอียด + หัวเชื้อจุลินทรีย์ ประมาณ 1 ลิตร (ซึ่งครั้งแรกอาจจะซื้อหัวเชื้อมาจากท้องตลาด หรือแบ่งมาจากเพื่อนเกษตรกรที่ทำน้ำหมักเอาไว้) + กากน้ำตาล 5 ลิตร เอาใส่รวมกันในถัง 200 ลิตร ใส่น้ำให้เต็มถัง คนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ให้ย่อยสลาย ฉีดแล้วทำให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งเขียวและออกหน่อดี มีฉีดแคลเซียม-โบรอน เดือนละ 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม จะช่วยเสริมความแข็งแรงของต้นให้หน่อมีความสมบูรณ์
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง คุณประจัก เล่าให้ฟังว่า การปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้นแตกต่างจากพืชผัก หรือพืชหมุนเวียนอายุสั้น เพราะหน่อไม้ฝรั่งต้องรอเวลาอย่างน้อย 1 ปี โดย 1 ปีแรก เพียงแต่บำรุงรักษาดูแลต้นให้กอใหญ่สมบูรณ์ จะเริ่มให้ผลผลิตได้เก็บหน่อบ้างในปีที่ 2 รายได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ จากรายได้วันละหลักร้อย ก็กลายเป็นวันละหลักพันบาท อย่างตนเองแปลงปลูก อายุ 2 ปี ในปีที่ 2 อย่างต่อรอบ (2 เดือน) หรือ 1 มีด ราวๆ 10,000-20,000 บาท แต่ตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 1 ปี ที่ผ่านมารวมตัวเงินได้ ราว 80,000 บาท ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับการทำการเกษตรอย่างอื่นที่มีต้นทุนมากกว่า ทั้งเรื่องของเมล็ดพันธุ์ สารเคมี และการลงแรงที่ทำงานหนักกว่ามาก แต่สำหรับหน่อไม้ฝรั่ง ทำงานเบาและสบายกว่ามาก ถือว่าเหมาะกับอายุของเราที่แก่ตัวลงทุกวัน ที่ฉีดยามากๆ ก็ไม่ไหว แต่พอมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ กลับรู้สึกว่าสบายตัวมากทีเดียว
คุณประจัก เล่า อย่างรายได้จากการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ยกตัวอย่างเพื่อนเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกเท่าๆ กัน แต่ปลูกแบบแถวคู่ที่มีจำนวนต้นเยอะกว่า ตอนนี้อายุต้นมากกว่าไม่กี่เดือน สามารถทำผลผลิตได้สูง มีดละ 50,000-60,000 บาท (2 เดือน) ทำให้เรามั่นใจรายได้ในอนาคต ตนเองจึงปลูกเพิ่มอีก 2 ไร่ แต่ปรับระยะปลูกเป็น 2 แถว ต่อร่อง เพื่อให้ได้จำนวนต้นที่มากขึ้น
ส่วนการเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง คุณประจัก อธิบายว่า หลังจากที่หน่อไม้ฝรั่งโผล่ออกมาจากดินจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ จะใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เท่านั้น (หน่อไม้ฝรั่งจะเจริญและยาวในเวลากลางคืน) ดังนั้น เมื่อวันแรกที่พบหน่อไม้ฝรั่งงอกมาจากดิน และมีความสูงประมาณ 2-3 นิ้ว จะต้องเอากรวยพลาสติกที่ทำเหมือนหมวกมาครอบส่วนของยอดหน่อไม้ฝรั่ง กรวยพลาสติกจะช่วยให้ดอกตูม ไม่บาน หลังจากที่สวมหมวกไปได้เพียง 1-2 วัน ก็ต้องถอนเก็บหน่อออกจากแปลงมาจำหน่ายทันที ถ้าปล่อยไว้ส่วนของปลายหน่อจะบาน กลายเป็นหน่อตกเกรด วิธีเก็บเกี่ยวทำได้โดยใช้มือจับโคนหน่อที่ติดกับดิน ที่มีความเขียวที่ 20-25 เซนติเมตร แล้วดึงขึ้นในแนวตรง หากไม่ตรงจะทำให้หน่อหักในระหว่างการเก็บเกี่ยว ระวังอย่าให้หน่อไม้ฝรั่งกระทบกระเทือน จะทำให้หน่อที่เกิดใหม่น้อยลง ไม่ควรจับหน่อแรงเกินไปจะทำให้ช้ำหรือหักได้ ช่วงการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาเช้า ราว 06.00-09.00 น. หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องนำหน่อไม้ฝรั่งเข้าไว้ในที่ร่ม ไม่ตากแดด มีอากาศถ่ายเทสะดวก นำมาคัดแยกแบ่งเกรดหน่อไม้ฝรั่ง การคัดเกรดต้องล้างมือให้สะอาด ไม่ไว้เล็บยาวหรือสวมถุงมือ ทำความสะอาดโคนหน่อ อย่าให้ปลายหน่อโดนน้ำ ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำประปาล้างหน่อไม้ฝรั่ง ล้างดินที่ติดมา แล้วนำมาวางเรียงในบล็อกไม้ที่จะกำหนดความยาวของหน่อไม้ฝรั่ง ตัดแต่งให้ยาว 20-25 เซนติเมตร (ความยาวแล้วแต่บริษัทผู้รับซื้อกำหนด) แล้วใช้มีดตัด ก็จะได้หน่อไม้ที่มีความยาวเท่าๆ กันอย่างระมัดระวังอย่าให้ช้ำ ต้องเปลี่ยนน้ำล้างหน่อไม้ฝรั่งทุกครั้งในแต่ละชุด ตัดโคนหน่อให้เสมอกัน ใช้กระดาษหุ้มแล้วมัดด้วยเชือกหรือยาง บล็อกและมีด ต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ บรรจุในตะกร้าโปร่ง ให้ยอดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดคด ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ คลุมไว้ จะเก็บได้นาน ประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าต้องเก็บไว้นานกว่านั้น ให้ใช้ตะกร้าที่บรรจุหน่อไม้ฝรั่งใส่ถังน้ำแข็ง แต่อย่าให้หน่อโดนน้ำ จะเก็บได้นานประมาณ 2 วัน ควรบรรจุไม่เกิน 20 กิโลกรัม ต่อตะกร้า แล้วไปส่งยังจุดรับซื้อของกลุ่ม หรือหากอยู่ห่างไกลจากจุดรับซื้อของกลุ่ม ก็สามารถยืดอายุหน่อไม้ฝรั่งโดยการแช่ตู้เย็นเอาไว้ได้นาน 2-3 วัน เมื่อผลผลิตรวบรวมได้พอสมควรก็นำไปส่งที่จุดรับซื้อ ราคาประกันรับซื้อโดยแบ่งเป็นเกรดๆ อย่าง เกรดเอ (A) รับซื้อที่ กิโลกรัมละ 65 บาท เกรดรองลงมา 60, 55, 50, 45, 40, 30 บาท ตามลำดับของเกรดรับซื้อที่แยกย่อยลงมา
สรุป เคล็ดลับบางประการสำหรับผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าหญ้าโดยเด็ดขาด ถ้าใช้ยาฆ่าหญ้า หน่อไม้ฝรั่งจะชะงักการแทงหน่อ อย่างน้อย 4 เดือน ต้นจะโทรม บางครั้งถึงยืนต้นตายได้ ต้องระวังเป็นอย่างมาก
2. หลีกเลี่ยงการใช้มูลสัตว์ปีก เช่น มูลไก่ มูลเป็ด มูลค้างคาว เพราะมักจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโรคจากเชื้อราได้ง่าย และจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งออกดอกมาก ก้านดอกยาว เป็นไปได้แนะนำให้ใช้เฉพาะขี้วัว หรือวัวนมเก่าที่ย่อยสลายแล้วจะดีมาก
3. หลีกเลี่ยงใช้แกลบดำ เพราะพืชตระกูลกินหน่อมักไม่ชอบแกลบดำ
4. ใส่ยิปซัม สำหรับบางพื้นที่ ดินที่ใช้ในการเกษตรมานาน ขาดการปรับปรุงบำรุงดินที่เหมาะสม จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข โดยการใช้ยิปซัมเป็นวัสดุปรับปรุงดิน จะช่วยแก้ปัญหาผิวดินจับตัวกันแน่น ทำให้น้ำและอากาศผ่านลงไปในดินชั้นล่างได้ดีขึ้น พืชดูดน้ำและอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการแก้ปัญหาทางเคมีและชีวภาพ ยิปซัมช่วยลดสภาพดินเป็นกรดในดินชั้นล่าง ลดการเกิดโรคพืช ช่วยฟื้นฟูดินเค็มให้กลับมาใช้ปลูกพืชได้เป็นปกติ ยิปซัมนอกจากช่วยปรับสภาพดินแล้ว ยังเป็นแหล่งให้ธาตุแคลเซียม และกำมะถันที่จำเป็น
ปัจจุบันที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพิ่มผลผลิตพืช ระบบการเกษตรแบบประณีต ทำให้ดินขาดความสมดุลของธาตุอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและกำมะถัน ที่มีอยู่ในดินสูญเสียไปจากการถูกชะล้างจำนวนมากทุกปี การใส่ยิปซัมจะช่วยเสริมสร้างระบบดิน-พืช ให้ดีขึ้นได้