ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160307/223674.html
“รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ” อยู่ถึง-ไม่ถึงวันลงประชามติ : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี
“รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ” ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงทันที หลังเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญตอนหนึ่งระบุว่า ให้ ส.ว.สรรหาเลือกนายกฯ
เพราะหาก ส.ว.สรรหาทำหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีจริง พรรคการเมืองปกติทั้งพรรคใหญ่ พรรคกลาง และพรรคเล็ก จะหมดความหมายในทันที
ขณะที่ ส.ว.สรรหาจะกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภา มีอิทธิพลทั้งต่อการกำหนดตัวนายกฯ การจัดตั้งรัฐบาล และการขับเคลื่อนกลไกการบริหาร
พรรคการเมืองปกติต่อให้ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ได้เลือกนายกฯ ของตัวเองเสมอไป
เมื่อไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ได้โดยสะดวก สุดท้ายก็จะตกเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของ คสช.หรือข้าราชการประจำไปโดยปริยาย
และยิ่งหาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่รีบออกมาปฏิเสธให้ชัดเจนว่า จะไม่มีคนของ คสช.เข้าไปนั่งเก้าอี้ ส.ว.สรรหาชุดนี้อย่างแน่นอนด้วยแล้ว ภาพการสืบทอดอำนาจของ คสช.ก็มีแต่จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.พูดไว้น่าคิดว่า “นี่เป็นมูลเหตุหนึ่งให้ต้องรณรงค์ควํ่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ไม่ใช่เพราะว่าพรรคการเมืองเห็นว่าเสียประโยชน์ แต่เพราะเราเห็นว่ารูปแบบนี้จะทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤติที่ไม่มีใครรับผิดชอบไหว”
สิ่งที่แกนนำ นปช.พูดนั้น ต้องยอมรับว่าคงไม่ผิดนัก หากดูจากกลไกต่างๆ ของ คสช.ที่ปฏิเสธความรับผิดชอบทุกกรณีอย่างชัดเจน ด้วยการนิรโทษกรรมให้ตัวเองไว้ในร่างรัฐธรรมนูญด้วย
ยังมีการนำเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปเทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญของเมียนมาร์ด้วยว่า มีหลักคิดเดียวกัน เพียงแต่เมียนมาร์กำหนดสัดส่วนสมาชิกในสภาไว้ให้รัฐบาลทหารอย่างชัดเจน
ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ของไทยแปรรูปไปเป็น ส.ว.สรรหา ซึ่งไม่อยากให้ลืมว่า สุดท้ายแล้วชาวเมียนมาร์ปฏิเสธแนวทางนี้อย่างสิ้นเชิงด้วยการเลือกพรรคของนางออง ซาน ซูจีอย่างถล่มทลาย
ที่ผ่านมา เรื่องการเตรียมการรณรงค์ควํ่าร่างรัฐธรรมนูญในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยนั้น เรียกว่ามีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในทางลับ ไม่เอิกเกริกหรือโฉ่งฉ่าง
เป้าหมายก็เพื่อให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงข้อมูลอีกด้านที่อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีผลเสียอะไรที่ถูกซ่อนเอาไว้บ้าง
เพียงแต่อาจจะยังไม่ขยับหรือเคลื่อนไหวอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนัก เพราะยังมีข้อจำกัดในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศอยู่
เวลานี้ฝ่ายรณรงค์ควํ่าร่างรัฐธรรมนูญจึงยังรอดูกติกาของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญอยู่ว่าจะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการรณรงค์ หรือการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
การใช้วาทกรรมว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกงนั้น คงไม่มีใครคิดไปขัดขวางการปราบโกง แต่มันสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เนื้อหาขัดหลักการประชาธิปไตยก็ได้มิใช่หรือ
การร่างรัฐธรรมนูญแบบขัดหลักการ แล้วใช้ความเจ้าเล่ห์อธิบายผ่านเทคนิคทางกฎหมายเพื่อให้ประชาชนยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น สุดท้ายผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้เสมอไปก็ได้
จึงไม่แปลกเลยหากมีคนคัดค้านวาทกรรมเรื่องประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
หากรัฐธรรมนูญทำได้เพียงให้สิทธิเลือกตั้งเป็นของประชาชน แต่อำนาจทั้งหมดถูกรวบไปรวมไว้ที่มือใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว แบบนั้นคงจะเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้
จนเป็นที่มาของฉายาที่ว่า “เผด็จการผลัดใบ” เพราะต่อให้แตกใบใหม่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่หากรากและลำต้นยังเป็นเครือข่ายของคณะยึดอำนาจแล้ว การปกครองแบบนี้ก็ยังคงต้องเรียกว่าเผด็จการอยู่ดี
หากดึงดันที่จะคงทุกมาตราที่หลายฝ่ายต่างออกมาบอกว่ามีปัญหาเอาไว้ วันทำประชามติก็คงไม่ต่างอะไรกับการเอาของมีตำหนิไปถามประชาชนว่าจะรับหรือไม่รับ บทสรุปในขั้นตอนสุดท้ายที่รออยู่ คงเดาได้ไม่ยากนัก
หากเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญยังคงเป็นแบบนี้ ไม่อยากพูดว่าจะผ่านเสียงประชามติได้หรือไม่ เพราะลึกๆ แล้วไม่แน่ใจว่า
ผู้มีอำนาจจะกล้าให้ร่างรัฐธรรมนูญร่างนี้ เดินไปถึงวันลงคะแนนประชามติหรือไม่ด้วยซํ้า
