ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160303/223506.html
วิปสปท.ถกด่วนญัตติ‘หมอพรทิพย์’จริยธรรมสื่อ เวทีราชดำเนินเสวนา ตัวแทนปชช. จี้ธุรกิจสื่อตั้งผู้ตรวจสอบภายในองค์กร เสริมสหภาพแรงงานฯ หลังสื่อเจอวิกฤตศรัทธา
3มี.ค.2559 นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญกิจการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปสปท.) แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้ที่ประชุมสปท.พิจารณากรณีปัญหามาตรฐานทางจริยธรรมทางวิชาชีพสื่อมวลชน ตามที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ และคณะได้เสนอ โดยที่ประชุมวิปสปท.ได้ให้ความสำคัญ และใช้เวลาในการพิจารณาญัตติดังกล่าวเป็นเวลานาน และได้มีมติมอบหมายให้คณะกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน และ คณะกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นำญัตติด่วนดังกล่าวไปศึกษาให้รอบด้านครบทุกประเด็นไม่เฉพาะกรณีที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ จากนั้นนำกลับมาให้ วิปสปท.พิจารณา อีกครั้งก่อนบรรจุเป็นระเบียบวาระการประชุมเพื่ออภิปรายต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษาภายใน 30 วัน ส่วนจะนานเกินไปหรือไม่นั้น คิดว่า การทำงานของสปท.มุ่งสร้างมาตรฐานโดยรวม ไม่ได้มุ่งไปที่กรณีใดกรณีหนึ่ง แต่เน้นภาพรวมทำงานเชิงวิชาการมากกว่าทำงานเชิงประเด็น หรือเน้นการอภิปรายทั่วไป ดังนั้น ก่อนจะนำเรื่องนี้บรรจุเข้าสู่ที่ประชุมต้องมีทางออก มิได้ฟุ่งเป้าไปที่การอภิปรายโดยที่ไม่ได้มีทางออก ซึ่งก็พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เห็นด้วยตามมติของที่ประชุมวิปสปท.
นายคำนูณ กล่าวว่า สำหรับการประชุมสปท.นั้นในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมเพียง 1 วัน คือ วันที่ 7 มี.ค.เพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 3 เรื่องโดยเป็นรายงานของคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ เรื่อง การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสังคม รายงานของคณะกรรมาธิการด้านสังคม และร่างระเบียบคณะกรรมการจริยธรรม
ปชช.จี้ธุรกิจสื่อตั้งผู้ตรวจฯภายในองค์กร
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง “สื่อตรวจสอบสังคม สังคมตรวจสอบสื่อ ความท้ายทายบนเส้นทางจริยธรรม” หลังจากเกิดกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการบริหารบริษัทไร่ส้ม จำกัด ฐานะพิธีกรรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 แม้ถูกศาลชั้นต้นเผนกคดีอาญาตัดสินจำคุกเหตุทุจริตเงินค่าโฆษณา ทำให้บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เสียหายเป็นมูลค่า 138 ล้านบาท ซึ่งกระแสสังคมเรียกร้องให้ทบทวนการทำหน้าที่พิธีกรรายการข่าว เพราะมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายละเมิดจริยธรรมของการทำหน้าที่สื่อมวลชน โดยมีวิทยากรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเวที
นายเทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงการปฏิรูปสื่อ ทั้งนี้ผิดหวังและเกิดคำถามว่าการปฏิรูปสื่อจะเป็นจริงหรือไม่ ทั้งนี้ในกรณีของนายสรยุทธเลยขั้นของการเป็นตัวผ่านการรับผิดชอบ เพราะได้มาถึงจุดการตัดสินใจของผู้บริหารช่อง 3 ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่ผ่านมาพบว่าผู้บริหารช่อง3 ใช้วิธีตอบโต้ว่าหากคิดว่าไม่ดี ไม่มีจริยธรรมก็ไม่ต้องดู ส่วนตัวมองว่าทางช่อง3 มีโอกาสสร้างมาตรฐานทางวิชาชีพสื่อมวลชน แต่ไม่ได้ทำ อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าเหตุผลที่ช่อง 3 ยังรักษานายสรยุทธไว้คือ เหตุผลทางธุรกิจ
“ที่ผ่านมาสังคมมองว่าการทำทุจริตอะไร ต้องมีใบเสร็จ แต่นี่จะมีอะไรที่เป็นใบเสร็จที่ชัดเจนกว่านี้อีก สิ่งที่อยากให้พิจารณาให้ดี คือ คำพิพากษาและรายละเอียดของข้อกล่าวหา รวมถึงคำสารภาพของคนที่เกี่ยวข้องทุกคน ผมคิดว่าไม่ต้องเถียงถึงเทคนิคทางกฎหมาย ที่ต้องมีอีก2ศาล แต่ควรใช้สามัญสำนึกดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งนี้สังคมควรรับรู้สาระของคำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วย ทั้งนี้คำตอบของคำถามว่าทำไมนักการเมืองขี้โกงถึงกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งได้ อาจพบคำตอบว่า โกงได้แต่ไม่เป็นไรเพราะทำดีเพื่อสังคม มันน่าผิดหวังมาก เพราะสื่อฯ อยู่ในฐานะสร้างบรรทัดฐานของสังคมแต่สื่อฯ กลับเป็นเป้าของการตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม ทั้งนี้ผมไม่แน่ใจว่าสื่อฯ ไทยจะพูดเรื่องธรรมาภิบาลหรือจริยธรรมได้เต็มปากหรือไม่ เพราะกรณีที่ของคุณสรยุทธ และช่อง3 ทำให้คนทำสื่อที่เหลือตกเป็นเป้า” นายเทพชัย กล่าว
นายเทพชัย กล่าวว่า ถึงจุดที่สังคมต้องมีส่วนร่วมกับการจัดการกับปัญหาอย่างโยนให้เป็นภาระขององค์กรสื่อ ประเด็นที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องท้าทายในสังคม หากกรณีนี้จบด้วยการไปสู่จุดเดิม จะเป็นส่วนที่ทำให้เห็นว่าสังคมพ่ายแพ้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น ขณะที่บทบาทของภาคสังคม และหน้าที่ของคนในสังคมทุกคนควรร่วมกันกดดัน ซึ่งทำได้ง่ายผ่านทางกระแสโซเชียลมีเดีย ส่วนตัวมองว่าขณะนี้เป็นเรื่องของสงครามจริยธรรม ซึ่งเป็นความท้าทายของสังคมไทยที่จะมีส่วนร่วมในการเอาชนะ
“ส่วนบทบาทของสื่อมวลชนภายใต้นักธุรกิจนั้น ต้องฝากไปยัง กสทช. ด้วยต่อเรื่องการแบ่งบทบาทของคนทำธุรกิจ ทั้งนี้ที่ผ่านมามีกำแพงแบ่งชัดเจนว่าฝ่ายข่าวกับฝ่ายธุรกิจ โดยฝ่ายข่าวจะนำเสนอข่าวโดยไม่แสดงความเห็น แต่ตอนนี้ฝ่ายการธุรกิจของสื่อ หลอมรวมกันไป บนจอทีวี และพบว่ามีการนำเสนอข่าวแบบโปรโมตสินค้า ทั้งนี้เห็นด้วยกับการมีเส้นแบ่งดังกล่าวและต้องตอบสังคมด้วยว่าคุณกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่” นายเทพชัย กล่าว
ด้านนางกุลทิพย์ ศาสตระรุจิ นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะเป็นต้นแบบของสื่อฯ โดยเฉพาะสื่อในท้องถิ่น สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับช่องสาม คนทุกกลุ่มของสังคมต้องร่วมช่วยกัน รวมถึงภาคประชาชนที่ต้องการความจริง หรือนักเล่าข่าว ทั้งนี้ยอมรับว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย จึงต้องการนักเล่าข่าว แต่ต้องเป็นนักเล่าข่าวที่มีคุณภาพ ไม่ใช่นักเล่าข่าวที่ไม่มีจิตสำนึก ทั้งนี้ในมุมมองของสถาบันการศึกษาที่สอนนักศึกษา เชื่อแน่ว่าจะนำประเด็นที่เกิดขึ้นมาสอนด้วย ขณะที่การเผยแพร่ข่าวสารทางออนไลน์นั้นน ตนต้องการให้เกิดการตรวจสอบร่วมด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งที่เผยแพร่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ภาคประชาชนให้ความสนใจมากกว่าสื่อกระแสหลัก
ส่วนนางสุวรรณา จิตประภัสสร์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ตนสอบถามผู้บริโภคในหลายภูมิภาคกับกรณีที่เกิดขึ้นพบว่าตัวแทนที่ให้คำตอบสงสัยว่าเหตุใดพิธีกรที่ถูกศาลตัดสินแล้วยังสามารถทำหน้าที่ได้ และควรให้นายสรยุทธนั้นแสดงสปีริตด้วย ขณะที่กระแสในพื้นที่พบว่าประชาชนไม่ดูรายการของช่องสามเพิ่มมากขึ้น ส่วนความเห็นส่วนตัวต่อประเด็นที่เกิดขึ้นมีรายละเอียดมองไปไกลกว่ากรณีของนายสรยุทธ หากเปรียบเทียบคือ เรื่องของนายสรยุทธนั้นเป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ คือ วิกฤตศรัทธาของสื่อมวลชน ดังนั้นตนขอเรียกร้องให้องค์กรสื่อ ตั้งผู้ตรวจการ หรือผู้ตรวจสอบภายในองค์กร เพื่อตรวจสอบกันภายในและไม่ปล่อยให้กรณีที่เกิดขึ้นเป็นบทบาทขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการตนกังวลว่าเสียงเรียกร้องที่อาจเกิดขึ้น คือประชาชนอาจเรียกร้องให้รัฐมาควบคุมสื่อ แทนการให้สื่อกำกับกันเอง
ขณะที่น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า เรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อฯ ถูกส่งให้ กสทช.มาเป็นระยะ แต่มีช่องว่างเรื่องกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของกสทช. ที่ไม่สามารถเข้าไปตัดสินจริยธรรมของสื่อมวลชนได้ ดังนั้นในกรณีที่เกิดกับนายสรยุทธ นั้น กสทช. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายเข้าไปดูแลเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามในประเด็นเรื่องจริยธรรมที่ให้บทบาท กสทช. ดูแลนั้นจะเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้สื่อฯมีจริยธรรมซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอล ดังนั้นประเด็นดังกล่าวจะนำไปสู่การเชิญผู้บริหารดิจิตอลทีวี และฟรีทีวีทุกช่อง รวม 26 ช่อง ที่ได้รับใบอนุญาตระบบดิจิตอล มาหารือ และให้ตัวแทนผู้บริหารฯ ช่วยตัดสินว่าการกระทำของช่อง 3 นั้นถือว่าผิดจริยธรรมหรือไม่ แล้วหากเกิดกรณีในสถานีของตนเองจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งประเด็นดังกล่าวนั้นตนมองว่าผู้ประกอบการควรมีส่วนร่วมในการตัดสิน และถือเป็นการยกระดับมาตรฐานจริยธรรมให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันด้วย เบื้องต้นในวันที่ 7 มี.ค.นี้ ทางอนุกสทช. จะเชิญช่อง 3 มาพูดคุย จากนั้นจะส่งจดหมายเชิญผู้ประกอบการ ทั้ง 26 ช่องมาพูดคุย
“เหตุผลที่กสทช. ไม่สามารถชี้ได้ว่าอะไรผิดจริยธรรม เพราะอาจมีปัญหาเรื่องการใช้ดุลยพินิจของแต่ละคนได้ ดังนั้นจึงเขียนเป็นเงื่อนไขเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรม ทั้งนี้กสทช. มีร่างประกาศว่าด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มและกำกับดูแลทางจริยธรรม โดยให้ผู้ประกอบวิชาชีพ สังกัดองค์กรวิชาชีพ และปฏิบัติตามเงื่อนไขทางจริยธรรม กรณีที่จะยกระดับการตัดสินเรื่องจริยธรรมให้เป็นของหน่วยงานรัฐนั้น หากองค์กรวิชาชีพไม่สามารถทำได้หรือไม่ยังตอบไม่ได้ เพราะหากกสทช.ทำหน้าที่ลุกล้ำ สื่ออาจนำไปฟ้องร้องกสทช. ได้เช่นกัน ทั้งนี้เรื่องที่ถกกันเป็นเรื่องจิตสำนึกและสามัญสำนึก เป็นเรื่องยาก เพราะสามัญสำนึกมองต่างกันได้ แล้วใครจะชนะ ต้องย้อมกลับมามองที่สังคมด้วยเช่นกัน เพราะหากให้กรรมการกสทช. ตัดสินที่อาจเพี้ยนๆ อาจถูกโต้แย้งได้ เราจึงพยายามทำในช่องทางเพื่อให้เกิดแรงกดดัน และอาจให้ตัวแทนผู้ประกอบการทีวี 26 ช่องลงนามในสัตยาบรรณในการทำงาน โดยกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนต่อความผิดใดๆ ด้วย เช่นกรณีหมิ่นประมาทแม้ศาลจะตัดสินว่าสื่อผิดจริง แต่เป็นกรณีที่ได้มาจากการทำหน้าที่ ดังนั้นต้องทำกติกาให้ชัดเจน และองค์กรประกอบวิชาชีพต้องดำเนินการตามกรอบจริยธรรม หากใครไม่ทำจะถือว่าเป็นแกะดำ” น.ส.สุภิญญา กล่าว
ด้านนายสุวิทย์ มิ่งมล ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวยืนยันว่า กรณีดังกล่าว อสมท. ไม่เคยละเลยการตรวจสอบผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง เพราะอดีตประธานสหภาพแรงงานที่ผ่านมานั้นได้นำเสนอเรื่องให้ตรวจสอบและทวงถามความคืบหน้ากับผู้บริหารโดยตลอด ส่วนกรณีที่มีทวิตเตอร์ แอคเค้าท์ “เอ็มคอตยูเนี่ยน” ทวิตข้อความว่าคนอสมท. ไม่ยอมลุกขึ้นมาปัดกวาดบ้านตัวเอง ยืนยันว่าไม่จริง อีกทั้งสหภาพแรงงานฯ ไม่เคยมีทวิตเตอร์ ดังนั้นตนขอเรียกร้องให้ผู้ใช้บัญชีดังกล่าวออกมาเปิดเผยตัวด้วย ทั้งนี้ในกรณีของบริษัทไร่ส้ม ตนทราบว่ามีเอกสารอยู่กับผู้บริหารบางราย และถูกปล่อยไปยังสื่อบางสำนักที่ชอบนำเสนอข่าวผิดๆ ดังนั้นหากใครที่มีคนที่เกี่ยวข้องมากกว่าพนักงานอสทม. คนหนึ่งที่ถูกตัดสิน ขอให้นำมาให้ตน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบกันเองได้ต่อไป ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นตนได้สอบถามกับเพื่อนที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานช่องสามถึงประเด็นดังกล่าวด้วย ซึ่งเขาระบุว่ามีความอึดอัดใจอย่างมาก
ด้านนายวสันต์ ภันหลีกลี้ ผู้อำนวยการสถาบันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของสื่อฯ เพราะเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม ความถูก ความควร ของสื่อมวลชน รวมถึงเป็นบทพิสูจน์ว่าสื่อฯ จะกำกับกันเองได้หรือไม่และจะทำอย่างไร ทั้งนี้มีการตั้งคำถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่สื่อฯ เล่นข่าวเพราะมีผลประโยชน์ หากพิธิกรเลิกปฏิบัติหน้าที่แล้วจะได้รับประโยชน์แทนซึ่งตนมองว่าไม่เป็นเช่นนั้น ส่วนกรณีที่สังคมเรียกร้องความเห็นใจนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ เช่น นักฟุตบอลที่เล่นดี แต่ไปพูดเหยียดผิดนักกีฬาคนอื่น ควรจะได้รับข้อยกเว้นเพราะเขาเล่นดีหรือไม่ อย่างไรก็ตามในบางประเทศที่สื่อทำผิดจริยธรรมเขาลาออกจากตำแหน่งเพราะละอายและถือว่าทำให้เสียชื่อเสียงกับวงศ์ตระกูล ดังนั้นสังคมไม่ควรปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตา
“ผมมองว่าองค์กรสื่อควรมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค หรือประชาชน เพื่อให้เกิดการแก้ไข ขณะที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้องช่วยให้การกำกับกันเองมีประสิทธิภาพและเกิดได้จริง ไม่จำเป็นมีกฎหมายหรือคนอื่นแทรกแซง เพราะอาจกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของการสื่อสารได้ อย่างไรก็ตามการกำกับกันเองมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่เป็นคำถามที่ตอบได้ว่าไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แม้มีท่าที หรือแถลงการณ์ แต่ผลทางปฏิบัติต้องดูเป็นสำคัญมากกว่า ทั้งนี้ในการทำงานช่วงเป็นสภาปฏิรูปประเทศ มีข้อเสนอให้ตั้งองค์กรสื่อมวลชนเพื่อกำกับกันเองและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีกติกาเพื่อกำกับกันเอง เชื่อว่าหากมีขึ้นจะกำกับกันเองได้ ขณะที่คนทำธุรกิจสื่อมาทำหน้าที่สื่อฯ มีโอกาสอย่างมากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ โดยปกติเราต้องการเห็นกองบรรณาธิการที่มีอิสระ ไม่เห็นเจ้าของธุรกิจแทรกแซง แต่หากเจ้าของธุรกิจเป็นพิธีกรเอง ต้องติดตามและสอดส่องดูแล หากเกิดกรณีที่พิธีกรฐานะเจ้าของธุรกิจทำความผิดร้ายแรง ฐานะฉ่อโกงนั้น คำตอบกลับมาที่จริยธรรมหากเป็นคดีอาญาต้องสู้ตามกฎหมาย แต่จริยธรรมนั้นต้องไม่ปล่อยให้คนบางคนมาทำให้วงการสื่อเสื่อมเสีย” นายวสันต์ กล่าว
