‘วิษณุ’ยันไม่คิดฟ้องร้องคนเปิดเผยจดหมายน้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160229/223319.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559
'วิษณุ'ยันไม่คิดฟ้องร้องคนเปิดเผยจดหมายน้อย

“วิษณุ”ยันไม่คิดฟ้องร้องคนเปิดเผยจดหมายน้อย ชี้เป็นการส่งหนังสือถึงอธิบดีราชทัณฑ์ เพื่อถามความเห็นยันตั้งใจเปิดเผยไม่ได้หลบซ่อน

              29ก.พ.2559 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของบุคคลคนหนึ่งเปิดเผยจดหมายน้อยของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เขียนถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อขอให้มีการพักโทษผู้ต้องขังคนหนึ่ง ว่า ไม่ติดใจและไม่สนใจคนที่นำมาเปิดเผย จดหมายดังกล่าวจะเรียกว่าอะไรก็แล้วตาม แต่ในความหมายของตนเข้าใจว่าถ้าเป็นจดหมายน้อยเหมือนเป็นเรื่องลับ มุบมิบและส่งไปแบบปกปิด แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ทำโดยโปร่งใสเปิดเผยเพราะถือว่าไม่มีอะไร ถ้าจะผิดคือไปทำโดยเปิดเผยโปร่งใส และผู้ร้องที่มายื่นขออนุญาตได้ยื่นเรื่องขอพบที่ห้องประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลตามเวลาราชการปกติ ซึ่งกรณีดังกล่าวมีภรรยาและลูกของผู้ต้องขังที่ระบุว่าเป็นนายกสมาคมกล้วยไม้ไทยโดยที่ตัวนายกฯซึ่งถูกคุมขังได้เขียนรายละเอียดต่าง ๆ มาให้ทราบ โดยมีทีมงานของตนมานั่งรับฟังเพราะตนไม่รู้จักทั้งคนที่มาร้องและนักโทษคนดังกล่าวและไม่เคยพบเจอ ตนจึงถามไปที่รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าเรื่องพักการลงโทษยังมีอยู่หรือไม่ ได้รับคำตอบว่าเรื่องเกณฑ์การพิจารณาโดยคณะกรรมการพิจารณาโดยมีรมว.ยุติธรรมเป็นประธาน เพราะอธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นเจ้าหน้าที่แต่ไม่มีอำนาจพิจารณาและวันนี้มีแต่ผู้รักษาราชการแทน จึงถามไปว่าคนอื่นมาร้องแทนนายกสมาคมกล้วยไม้ฯได้หรือไม่โดยรักษาราชการแทนอธิบดีระบุให้ลองมาดูโดยระบุว่าการพักการลงโทษไม่ใช่สิ่งที่มาขอแต่เป็นเรื่องที่ราชการจะพิจารณาเอง

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนที่ถามว่าทำไมไม่สั่งราชการไปที่รมว.ยุติธรรม ต้องอธิบายว่าเมื่อรู้ว่าเมื่อรมว.ยุติธรรมเป็นประธานก็ไม่ควรสั่งเรื่องนี้ไปแต่ถ้าเขาจะไปร้องกับรมว.ยุติธรรม ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้ามาร้องกับตนแล้วตนส่งเรื่องไปที่รมว.ยุติธรรม อย่างนั้นจะเป็นการกดดันแทรกแซง ตนจึงเขียนข้อความให้ผู้มาร้องถือไปพบกับรักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์เองลงท้ายว่ากรุณาพิจารณาหากระเบียบเปิดช่องให้ทำได้ ไม่ได้ส่งไปในทางลับ เพราะไม่ใช่การขอยศ ขั้นหรือตำแหน่งความชอบซึ่งมีระเบียบปฎิบัติอยู่แล้ว เมื่อส่งไปแล้วเขาไม่ได้แจ้งกลับมาว่าได้เรื่องอย่างไร ส่วนที่ปรากฎชื่อของท่านผู้หญิงคนหนึ่งนั้นเป็นการอธิบายความในหนังสือของเขาเพื่อจะบอกได้ว่าผู้ต้องขังมีคุณงามความดีอะไร โดยที่ท่านผู้หญิงคนดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องอะไร ทั้งนี้เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นสังคมจะได้ทราบว่าไทยมีระบบพักการลงโทษมาหลายปีตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ กำหนดว่าถ้านักโทษที่รับโทษมาระยะหนึ่งและถูกจัดให้เป็นนักโทษชั้นดีสามารถพิจารณาพักการลงโทษเหมือนการคุมประพฤติอยู่ด้านนอก เพื่อไม่ให้นักโทษล้นคุก ซึ่งไม่ใช่การปล่อยตัว อภัยโทษหรือนิรโทษกรรม

“ผมไม่ได้มองไม่ได้คิดว่าคนที่นำมาเสนอต้องการอะไรและต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าผมไม่ได้ปิดผนึกจะไปหล่นหายที่ไหนหรือผู้ร้องไปส่งกันเองก็ได้ ผมไม่ได้ติดใจหรือกลัวเพราะเจตนาผมคือไม่ปิดผนึกเพื่อให้เอาไปยื่นแล้วคุยกับอธิบดีเอง โดยที่เขาต้องนำเรื่องเข้าคณะกรรมการเพราะอธิบดีไม่มีอำนาจจะพิจารณาให้ เรื่องนี้เป็นการขอพักการลงโทษไม่ใช่ตุกติกปล่อยตัวนัก โทษตามกฎหมาย ซึ่งสามารถพักการลงโทษได้ ยืนยันตรงไปตรงมาว่า ไม่ใช่จดหมายน้อย ไม่ได้ปิดผนึก ไม่ได้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ ถือมาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น ถ้าผมมีเล่ห์เหลี่ยมไม่รู้ระบบราชการ ผมคงทำอีกแบบซึ่งมีสารพัดวิธีที่จะทำได้ และเรื่องนี้ผมไม่ฟ้องอะไร และดีใจที่เรื่องนี้เกิดขึ้นถือว่าวิกฤติเป็นโอกาสซึ่งคนไทยจะได้รู้ว่าเรามีระบบการพักโทษ ไม่ใช่มีแค่อภัยโทษ นิรโทษกรรมเท่านั้น คนอาจจะมองว่าผมพลาด แต่ไม่ได้พลาด และมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเขียนจดหมายมาหาผมว่า ไม่เป็นไร มือที่ไม่มีบาดแผลถึงถูกยาพิษก็ไม่ซึมเข้าไป” นายวิษณุ

 

กกต.ยอมรับสถานะการเงินวิกฤต 

นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการกกต.ในฐานะรักษาการเลขาธิการกกต. กล่าวกรณีสำนักงานกกต.มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ว่า ที่ผ่านมากกต.ได้นำเงินสะสมที่เหลือจากการเลือกตั้งไปใช้ในภารกิจต่าง ๆ ทั้งการปรับเงินเดือนพนักงาน การก่อสร้างอาคารสำนักงาน  และการจัดทำโครงการต่าง ๆ โดยกกต.ไม่เคยได้รับการจัดสรรงบเหล่านี้สำนักงบประมาณเลย ทำให้งบสะสมของกกต.เกิดการร่อยหรอ  ซึ่งในปีงบประมาณ 2560 ถ้ากกต.ไม่ได้รับการจัดสรรงบในจำนวนที่เพียงพอก็จะเกิดผลกระทบกับการทำงานของสำนักงานกกต. รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าตอบแทนต่าง ๆ ของพนักงานด้วยเพราะในส่วนค่าตอบแทนของพนักงาน เช่นเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงบประมาณก็ไม่เคยจัดสรรให้กับกกต.

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนักงบประมาณไม่จัดสรรให้เพราะมองว่า ระเบียบการเบิกจ่ายที่กกต.ออกมานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายบุณยเกียรติ กล่าวยืนยันว่า ระเบียบการจ่ายเงินดังกล่าว กกต.ดำเนินการอย่างถูกต้อง เพราะกฎหมายก็กำหนดให้อำนาจกกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระสามารถออกระเบียบเองได้อยู่แล้ว อีกทั้งองค์กรอื่น ก็มีการออกระเบียบให้เงินค่าตอบแทนกับพนักงาน เช่นเดียวกัน  ซึ่งในส่วนของสำนักงานกกต.ผู้บริหารเห็นว่า พนักงานทุกคนถ้าเกษียณอายุราชการไปแล้วกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ได้รับสวัสดิการอะไรเลย นอกจากเงินบำเหน็จเพียงก้อนเดียว แม้แต่ค่ารักษาพยาบาลก็เบิกไมได้ ไม่ว่าจะเป็นของตนเอง หรือบุคลลในครอบครัว จึงจำเป็นที่จะต้องให้พนักงานกกต.มีความมั่นคงในส่วนนี้ จึงได้มีการสมทบให้กับพนักงานในรูปของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหน่วยงานอื่นเขาก็มีแต่อาจจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นและเขากำหนดไว้ในตัวระเบียบที่เขาสามารถขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณได้โดยตรง แต่ในส่วนของกกต.สำนักงบจะจัดสรรงบให้มาเป็นแบบเป็นก้อนโดยบอกว่าส่วนนี้เป็นค่าเงินเดือน ค่าบริหารองค์กร ซึ่งโดยหลักแล้วก็จะมีหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้นแต่ในส่วนงบลงทุนหรืองบก่อสร้างสำนักงานกกต.จว.ต่าง ๆ ประมาณ 1,000 ล้านซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 49 แล้วกกต.ก็ไม่เคยได้รับการจัดสรรเลย

“งบสำรองที่เหลืออยู่ ถ้าถามว่ามันวิกฤตหรือไม่ มันก็วิกฤต เพราะเรามีเงินสำรองจ่ายในปีงบประมาณ 2559 เหลืออยู่ประมาณ 72 ล้านฉะนั้นถ้าหากว่าจำเป็นต้องใช้เงินสำรองนี้ไปในส่วนใดส่วนหนึ่งอีกที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็เท่ากับว่าเงินสำรองเราก็จะน้อยลงไปอีกและถ้าไม่ได้รับการจัดสรร มาในปีงบประมาณ 2560ให้เพียงพอกับการเป็นค่าเงินเดือน หรือค่าตอบแทนพนักงานอีก ก็จะทำให้มีปัญหาไม่เฉพาะกับแค่นี้ด้วยซ้ำไป แต่ในส่วนแผนงานโครงการอื่น ๆ ที่เราเตรียมไว้ก็จะมีผลกระทบไปด้วย ซึ่งตอนนี้สำนักงานก็กำลังเร่งทำแผนคำของบประมาณปี 2560 อยู่ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมกกต.พิจารณา เพราะรัฐบาลกำหนดให้กกต.ต้องเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 4 มี.ค. แต่ตัวเลขที่ขอยังไม่ชัดเจน  ซึ่งน่าจะไม่ต่างจากที่ขอทุกปี  คือประมาณ 5,000 ล้าน และก็ไม่รู้ว่าสำนักงบจะจัดสรรให้เหมือนทุกปีหรือเปล่าคือประมาณไม่เกิน 2 พันล้าน เพราะขณะนี้กกต.เกิดงบประมาณไม่เพียงพอขึ้นแล้ว”

ส่วนที่ระบุว่าปัญหางบประมาณกกต.มาจากการปรับโครงสร้างตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงผิดพลาด นายบุณยเกียรติ กล่าวว่า การเพิ่มผู้บริหารขึ้นมาส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างในส่วนของต่างจังหวัด โดยให้มีรองผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมาช่วยงานผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ก็อาจจะมีส่วนที่กระทบกับงบประมาณแต่ไม่มากนัก เพราะสำนักงานใช้วิธีการค่อย ๆ ปรับขึ้นมา ไม่ใช่การเพิ่มขึ้นทีเดียวทั้งหมดครบทั้ง 77 จังหวัด  ซึ่งการขยายตำแหน่งก็เป็นเรื่องความก้าวหน้าของพนักงานด้วย

นายบุณยเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า แม้เรื่องดังกล่าวจะกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงาน แต่คงถึงขนาดมีผลต่อการปฏิบัติงานของพนังานในการออกเสียงประชามติเพราะในปีงบประมาณ 59  ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีการตัดลดอะไรเนื่องจากการตั้งงบประมาณไว้พอแล้ว  แต่ในปีงบประมาณ 2560 คือตั้งแต่ ต.ค. 59-30 ก.ย. 60 ถ้าหากกกต.ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลมาไม่เพียงพอ สำนักงานก็ต้องมาพิจารณาดูว่าแผนงานโครงการใดที่สำนักงานยังไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการอาจจะเลื่อนหรือชะลอออกไปก่อนก็ได้  แต่ในส่วนของเงินเดือน หรือค่าตอบแทนต่าง ๆ ของพนักงาน ก็จะพยายามไม่ให้กระทบพนักงาน โดยจะเป็นลำดับสุดท้ายที่จะพิจารณาหากมีความจำเป็นที่ต้องปรับลด

Leave a comment