สำหรับพระแล้ว‘เงิน’คืออสรพิษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160308/223745.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2559
สำหรับพระแล้ว‘เงิน’คืออสรพิษ

สำหรับพระแล้ว‘เงิน’คืออสรพิษ : ขยายปมร้อน โดยศรุติ ศรุตา

            มีคนบอกว่า เรื่องวุ่นๆ ที่เกิดกับวงการสงฆ์ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็เป็นเรื่องขึ้นมา

แต่ก็มีคนบอกว่า ยังไงเสีย มันก็ต้องเป็นเรื่อง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันถูกละเลยมานาน

พระที่มีชื่อเสียงในมวลหมู่พระด้วยกัน รวมทั้งฆราวาสทั้งหลายเองต่างก็รู้จักให้ความเคารพนับถือต่างพากันออกมาร้องเรียนกัน ตามที่ภาษาพระเขาบอกว่า เป็นการ “โจษ” อีกฝ่าย ว่ากระทำผิดพระธรรมวินัย

เรื่องราวมันบานปลายใหญ่โต ก็เพราะเรื่องมันมาเกี่ยวพันกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่

ถึงแม้จะไม่โดยตรง แต่องค์รวมมันก็โยงกันได้ !

ไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ บอกว่า จริงๆ แล้วถ้าหากพระสงฆ์ยึดถือในพระธรรมวินัยเป็นหลัก เรื่องราวฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ มันก็จะไม่เกิด

เพราะพระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า “เงินนั้น สำหรับพระสงฆ์แล้วไม่ต่างจากอสรพิษ” แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่า เงิน หรือทรัพย์ นอกจากจะไม่ใช่ “อสรพิษ” หากแต่ไม่ต่างจากสิ่งที่ควรค่าแก่การมีไว้ประดับบารมี

แต่เรื่องที่ว่า ก็ไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิดเอาในยุคสมัยนี้ เมื่อกาลก่อนก็มีภิกษุที่ละเลยพระธรรมวินัยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไพบูลย์ บอกว่า “อลัชชี” เกิดขึ้นมากที่สุดในยุคของ พระเจ้าอโศก ยุคนั้นมีการจับสึกไปร่วม 6 หมื่นคน

มีการสังคายนาพระไตรปิฎกใหม่ จนทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อมาจนถึงวันนี้ได้

แต่สำหรับประเทศไทย ก็ไม่ได้ราบรื่นมาขนาดนั้น โดยเฉพาะหลังเสียกรุงศรีอยุธยา !

ก็อย่างที่รู้กัน ศาสนาพุทธ ไม่ได้มีบทบังคับว่าหากไม่ทำตามพระวินัย หรือทำผิดเพี้ยน หรือบิดเบือนพระธรรมวินัย ก็ไม่ได้ถึงกับต้องเอาเข้าคุก กุดหัว

การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นสิ่งที่รับรู้ด้วยตน เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่ผิดเพี้ยน บิดเบือน ตนย่อมรู้ด้วยตนเองเช่นกัน

บันทึกไม่ได้ระบุว่า ผิดเพี้ยน บิดเบือนมากมายแค่ไหน แต่ระบุว่า สมัยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ที่เรียกว่า กฎพระสงฆ์ ขึ้นในระหว่าง ปี พ.ศ.2325-2344 รวม 10 ฉบับ (อยู่ในกฎหมายตราสามดวง)

กฎหมายที่ว่านี้มีไว้เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และสามเณร ประพฤติปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ให้พระราชาคณะ เจ้าอธิการ และเจ้าหน้าที่สังฆการี ทำการกำกับดูแลและลงโทษผู้ที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย ตามสมควรแก่โทษหนักเบา

กฎอันเกี่ยวกับเรื่องเงิน เรื่องทรัพย์สินนั้น ว่าไว้ในกฎข้อที่ 2 กฎให้ไว้แก่สังฆการีธรรมการ…

“ห้ามอย่าให้ภิกษุสามเณรทั้งปวงรับของฝากฆราวาส จะเสียพระวินัยพระศาสนาไป ถ้าภิกษุไม่รับฝาก ห้ามปรามผู้ฝาก ผู้ฝากมิพัง กลัวภัยขืนทิ้งไว้ที่กุฏิ… เร่งเอาเพื่อนพรหมจรรย์ที่ใกล้กันให้หลายองค์รู้เห็นเป็นพยาน… พาสงฆ์ซึ่งรู้เห็นนั้นไปแจ้งเนื้อความ และสิ่งของแก่พระราชาคณะเจ้าอธิการ พระราชาคณะเจ้าอธิการจงประชุมนุมกันปรึกษาจงละเอียด ให้ต้องตามพระวินัยบัญญัติ…ถ้าพระสงฆ์ราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยจะปรึกษาประการใด จงประพฤติตาม ให้สงฆ์เป็นอันมากรู้เห็นเป็นพยานไว้…อย่าให้ผู้อื่นแคลงในพระพุทธศาสนา แลห้ามฝ่ายฆราวาส อย่าให้เอาของเงินของทองไปฝากภิกษุสามเณรไว้ ทำให้เจ้ากูเสียวินัยสิกขาบทเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้ ฝ่ายภิกษุสามเณรจะลงพระอาชญาโทษดุจโทษ อทินนาทานปาราชิก จะสึกออกขับเฆี่ยนจงสาหัส ฝ่ายฆราวาสจะให้ริบราชบาทขับเฆี่ยนจงหนักโดยโทษานุโทษ”

ข้อความตามกฎหมายของรัชกาลที่ 1 ว่าอย่างนั้น

ทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นประจักษ์กันแล้วว่า เป็นอย่างไร ปัญหาที่พาพวกเราทั้งหลายมาถึงจุดนี้ รู้กันแล้วใช่ไหมว่าเพราะอะไร !

Leave a comment