ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160305/223613.html
อานิสงส์‘กระเช้าภูกระดึง’ ที่ดินพุ่งขนมหวานนายทุน : ศิวะ โลโหรายงาน
กระแสการก่อสร้าง “กระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง” กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนในสังคมอีกครั้ง หลังจากคณะรัฐมนตรีได้นำผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. เข้าที่ประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
แน่นอนว่าการที่โครงการดังกล่าวถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง สิ่งที่ตามมาก็คือปฏิกิริยาของผู้คนในสังคมที่มีทั้งเห็นด้วยและต่อต้าน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ การกลับมาของกระแสการก่อสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงส่งผลให้สิ่งหนึ่งเริ่มขยับตัวตามไปด้วย นั่นคือ “ราคาที่ดิน” ที่มีราคาเพิ่มขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ว่าที่ร้อยตรี รักเกียรติ เล็กอาราม” นักวิชาการที่ดินชำนาญการ สำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาภูกระดึง มองว่า ก่อนหน้านี้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเคยมีกระแสข่าวการก่อสร้างกระเช้า และในตอนนั้นทำให้ “ราคาซื้อขายที่ดิน” ในพื้นที่ อ.ภูกระดึง โดยเฉพาะที่ “บ้านห้วยเดื่อ” หมู่ 8 ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นที่ที่ใช้สำหรับก่อสร้างสถานีกระเช้าไฟฟ้าปรับราคาเพิ่มมากขึ้น มาถึงวันนี้กรมธนารักษ์ได้ประเมินราคาที่ดินใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 พบว่า ราคาที่ดินถูกขยับขึ้นไปอีก และเมื่อมีกระแสของการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงขึ้นมาอีกยิ่งทำให้ราคาที่ดินที่สูงอยู่แล้วพุ่งสูงขึ้น โดยเจ้าของที่ดินเป็นผู้กำหนดราคาซื้อขาย อย่างต่ำ “ไร่ละ 2–3 ล้านบาท” ซึ่งสูงกว่าราคาที่มาจากการประเมินของกรมธนารักษ์หลายเท่า
สำหรับราคาที่ดินในพื้นที่ ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จากบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน แยกเป็นโซนต่างๆ ดังนี้ 1.ที่ดินติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2019 1 (ถนนราชวิถี) แบ่งเป็น ที่ดินติดถนน ระยะ 40 เมตร ราคาประเมินอยู่ที่ตารางวาละ 2,450 บาท ไร่ละ 980,000 บาท, ที่ดินต่อจากที่ดินติดถนนในแปลงเดียวกัน ระยะ 40 เมตร ราคาประเมินอยู่ที่ตารางวาละ 1,225 บาท ไร่ละ 490,000 บาท 2.ที่ดินติดทางหลวงชนบท ลย.7023 (ศรีฐาน–วังยาว) ระยะ 40 เมตร ราคาประเมินอยู่ที่ตารางวาละ 225 บาท ไร่ละ 90,000 บาท 3.ที่ดินติดถนน ซอย ทาง ระยะ 40 เมตร ตารางวาละ 175 บาท ไร่ละ 70,000 บาท 4.ที่ดินนอกเหนือจาก ข้อ 1.–3. ตารางวาละ 85 บาท ไร่ละ 34,000 บาท
“จะเห็นว่าราคาซื้อขายที่ดินที่ธนารักษ์ประเมินตามบัญชีอยู่ในหลักแสนบาท แต่การซื้อขายตามจริงขณะนี้พบว่าสูงถึงหลักล้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใกล้กับจุดที่ระบุว่าจะก่อสร้างสถานีกระเช้าไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มีนายทุนนอกพื้นที่เข้ามาสอบถามกับทางสำนักงานที่ดินอำเภอแต่อย่างใด ส่วนราคาที่ปล่อยกันออกมาจากเจ้าของที่ดินน่าจะอยู่ที่ 2–3 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น เพราะชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีใครซื้ออยู่แล้ว เชื่อว่า คนที่จะเข้ามากว้านซื้อคงเป็นนายทุนเท่านั้น” นักวิชาการที่ดินชำนาญการ กล่าว
นอกจากราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้น สิ่งที่จะได้รับอานิสงส์จากโครงการนี้ที่เราจะได้ยินบ่อยๆ คือเรื่องของการเติบโตของเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของ จ.เลย ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนต่างออกมาผลักดันเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้น
ดร.สมศักดิ์ ขจรเฉลิมศักดิ์ ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดเลยกล่าวว่า เดิมทีเศรษฐกิจของ จ.เลย เป็นการพึ่งพาเศรษฐกิจภาคเกษตรที่อาศัย 4 พืชไร่หลัก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพด นอกจากนี้ยังมีพืชไร่ชนิดอื่นๆ รวมไปถึงไม้ดอกเมืองหนาวอีก 6,000–7,000 ล้านบาท ทำให้ จ.เลย มีรายได้ประมาณ 3 หมื่นกว่าล้าน ขณะเดียวกันยังมีรายได้จากภาคท่องเที่ยว และการค้าชายแดน ทำให้ตัวเลขรายได้ปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
“ถ้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงรับการอนุมัติให้มีโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จะช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งที่อยู่ใน จ.เลย และจังหวัดข้างเคียง แม้กระทั้งภาคอีสานตอนบน 1 และภาคอีสานตอนกลาง เช่น ร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์ จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย คาดว่าจะทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวแต่จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามระดับ” ดร.สมศักดิ์กล่าว
ขณะเดียวกัน ดร.สมศักดิ์ ยังมองว่า กระเช้าไฟฟ้าขึ้น-ลงภูกระดึง ถือเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้สูงอายุผู้ที่ต้องการพักผ่อน และเด็กๆ สามารถจะมาเที่ยวได้ ส่วนรายได้จะเพิ่มมากหรือน้อยนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.เลย และท้องถิ่นอื่นๆ ที่จะเข้ามาลงทุน หากเข้ามาลงทุนจะต้องอยู่ในพื้นที่ด้านล่าง ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นส่วนมากจะมีโฉนดทั้งหมด ส่วนพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติภูกระดึงไม่สามารถเข้าไปแตะต้องได้ ดังนั้น ผู้จะเข้ามาลงทุนต้องศึกษาให้ดี และที่สำคัญจะต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับจังหวัดด้วย หนึ่งในนั้นคือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
สอดคล้องกับความคิดเห็น “วิโรจน์ จิวะรังสรรค์” ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย มองว่า การลงทุนทำกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ตามรายงานการศึกษาถือว่ามีความคุ้มค่า และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ ส่วนทางจังหวัดได้เข้าไปมีบทบาทในเรื่องการให้ข้อมูล และการอำนวยความสะดวกในการศึกษา โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ร่วมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมาหลายสิบครั้งจนได้ข้อสรุปว่าปัญหาและความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง
“จังหวัดได้มีความเห็นพ้องในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2520 ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นเห็นชอบตามรายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทั่งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ., สภาอุตสาหกรรม, หอการค้าจังหวัด มีความเห็นต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาให้ก่อสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง ในเรื่องนี้ทางจังหวัดเองมีอยู่ 2 ประเด็น คือการทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวดีขึ้น แต่ส่วนหนึ่งจังหวัดมีความห่วงใยในเรื่องของผลกระทบสิ่งแวดล้อม” ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าว
เกี่ยวกับปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่นั้น เรื่องนี้พ่อเมืองจังหวัดเลยบอกต่อว่า จากรายงานการศึกษาตั้งแต่ปี 2527–2543 ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับต่ำและอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ส่วนการก่อสร้างกระเช้าไม่ว่าจะเป็นสถานีต้นทาง หรือสถานีปลายทางที่ไปกระทบพื้นที่ลุ่มน้ำ 1A หรือลุ่มน้ำชั้น 4 ตรงนี้เองอยากเรียนว่า แทบจะไม่กระทบ ขณะที่ระบบสาธารณูปโภคบริเวณพื้นที่ด้านล่าง จากการสำรวจพบว่ามีเพียงพอ เพราะมีห้วย และลำน้ำต่างๆ สามารถรองรับระบบสาธารณูปโภคได้ ส่วนบริเวณด้านบนของภูกระดึง ไม่ว่าจะเป็นน้ำ และไฟฟ้าสามารถรองรับได้มานานแล้ว
“นักท่องเที่ยวที่ขึ้นกระเช้าจะไม่ไปพักข้างแรม โดยจะขึ้นภายในวันเดียวหรือครึ่งวันแล้วต้องลงมา ซึ่งเรื่องนี้จะต้องทำเป็นข้อกำหนดหรือกติการ่วมกัน ผมคิดว่า เรื่องนี้กรมอุทยานฯ จะเห็นพ้องต้องกันว่า คนที่จะขึ้นไปพักแรมได้ควรเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้น ส่วนคนขึ้นกระเช้าจะต้องลงมาพักแรมข้างล่าง และแม้ว่าจะมีกระเช้าขึ้นภูกระดึง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปต้องจำกัดอยู่ที่ 5,000 คนต่อวันเท่าเดิม” ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยยืนยัน
ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ เลยยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หากการก่อสร้างกระเช้าเกิดขึ้นจะไม่ก่อสร้างอะไรเพิ่มเติม แต่อาจจะมีทำเพิ่มในเรื่องของระบบขนส่ง โดยใช้รถแบบรถกอล์ฟหรือรถรางเพื่อใช้ในการขนส่งยังจุดต่างๆ ตรงนี้เองคือสิ่งที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษา ซึ่งจะต้องนำไปใช้ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในขั้นตอนต่อไปด้วย ขณะที่ลูกหาบยังทำหน้าที่เหมือนเดิม บางรายอาจปรับเปลี่ยนไปทำอาชีพ เช่น การขนส่งสัมภาระของนักท่องเที่ยวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งลูกหาบเหล่านี้จะได้โอกาสมากกว่าคนอื่นในการเป็นพนักงานขนส่ง
“กระเช้าขึ้นภูกระดึงจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ภูกระดึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกขึ้นมา เพราะจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจุดนี้จะทำให้เศรษฐกิจของชุมชนดีขึ้น ขณะเดียวกันชาวชุมชนจะรู้สึกรัก หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของภูกระดึงมากยิ่งขึ้น เราจะทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เราต้องทำให้คนสามารถอยู่กับป่าได้ ป่ายังคงอยู่ และคนก็มีรายได้จากป่า จึงเป็นที่มาของโครงการสร้างป่าสร้างอาชีพ” ผู้ว่าฯ เมืองเลยระบุ
แม้จนถึงขณะนี้ การก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าจะยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่แรงหนุนและแรงต้านในพื้นที่ยังมีให้เห็นอยู่ และสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ ทุกการพัฒนาย่อมเกิดผลกระทบไม่ว่าด้านในด้านหนึ่ง ดังนั้น หากไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี อาจเกิดผลกระทบด้านลบตามมาอย่างไม่คาดคิด…ที่สำคัญเมื่อถึงวันนั้นมันอาจยากต่อการแก้ไขกลับคืนได้…?
