อารักขกัมมัฏฐาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05128011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

ธรรมะจากวัด

พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ

อารักขกัมมัฏฐาน

พระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย เจริญสมาธิภาวนามานาน แม้วิธีการเจริญสมาธิภาวนาหลักๆ ที่ใช้กันอยู่คือ สติปัฏฐาน และอานาปานสติก็ตาม แต่ด้วยความที่พระภิกษุสงฆ์แต่โบราณกาลมีความเชี่ยวชาญด้านการเจริญสมาธิภาวนา ท่านโบราณจารย์เหล่านั้นจึงได้รวบรวมวิธีการพิเศษที่จะเข้าถึงอานาปานสติและสติปัฏฐาน จากคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือท่านจะคิดวิธีการลัดของท่านให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงความสะอาด สว่าง และสงบ โดยง่ายขึ้น

อารักขกัมมัฏฐาน แปลตรงตัวว่า กัมมัฏฐานที่ควรรักษา ท่านใช้ คำว่า อารักขา แปลว่า ต้องดูแลอย่างดี มีอยู่ 4 ประการ คือ

1. พุทธานุสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาจิตว่างจากความคิดการงานเรื่องอื่นถ้าได้คิดเรื่องพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพศรัทธา จิตใจจะมีความอบอุ่นมั่นคง เพราะนำใจไปวางไว้กับสิ่งบริสุทธิ์คือ ความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน หรือมีชาวพุทธอีกจำนวนมากทั้งสายเถรวาท มหายาน วัชรยาน ล้วนนิยมนับลูกประคำโดยการนำเอาพระนามของพระพุทธเจ้ามาท่องบ่นก่อนเข้านอน หรือยามว่างจากคิดการงานอื่นๆ เช่น ชาวพุทธสายเถรวาทจะนำเอาพระนามของพระพุทธเจ้าที่ว่า พุทโธ มาท่องบ่นและนับลูกประคำไปด้วย หรือชาวพุทธจำนวนมาก นิยมนำ คำว่า พุทโธ มาใช้เป็นที่พักใจ ทุกขณะที่หายใจ ในวิธีว่า พุทธ หายใจเข้า โธ หายใจออก หรือสอนกันง่ายๆ ว่า พุท เข้า โธ ออก

พุทธ เข้า โธ ออก

สติคอยบอกว่า รู้ ตื่น เบิก บาน

ฝึกแล้วฝึกอีก ฝึกจนชำนาญ

รู้ ตื่น เบิกบาน ทุกลมหายใจ

หรือ เมื่อถึงเวลาขึ้นปีใหม่ชาวพุทธไทยจะพากันรวมตัวที่วัดใกล้บ้าน หรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่รวมคนได้ง่ายและสะดวก เช่น ท้องสนามหลวง เพื่อสวดอิติปิโสข้ามวัน ข้ามเดือน และข้ามปี แม้อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นการเจริญพุทธานุสติ คือรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ชาวพุทธมหายาน นำเอาพระนามของพระพุทธเจ้าที่ว่า อมิตาภพุทธะ ซึ่งแปลว่า พระองค์ผู้ทรงอมตะรุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งนัก มาท่องบ่นบริกรรมเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง เพื่อเป็นที่พักพิงใจที่อบอุ่นและมั่นคง ส่วนชาวพุทธฝ่ายวัชรยาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวทิเบต มักจะนำเอาพระนามของพระพุทธเจ้ามาท่องบ่นบริกรรมว่า โอม ปัทเมหุม ซึ่งแปลว่า พระผู้เบิกบาน คือดอกบัว ชาวทิเบตจะท่องพระนามนี้จนขึ้นใจ ไม่ว่าจะเป็นเวลาว่างจากงานหรือเวลาทำงานก็จะบริกรรมพระนามนี้ไปด้วย เป็นการทำงานพร้อมกันไปทั้งงานกายและจิตใจ จึงเห็นได้ว่าแม้ชาวทิเบตจะบ้านแตกสาแหรกขาด แต่จิตใจเข้มแข็ง อดทน ต่อสู้ พลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ที่ใด ไม่ช้าไม่นานสามารถสร้างชุมชนและสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งได้อย่างรวดเร็ว เพราะแม้เขาจะสูญเสียทุกอย่างแม้แต่แผ่นดิน แต่พวกเขาไม่เคยสูญเสียพลังใจที่เติมเต็มด้วยพุทธะที่เบ่งบานคือ ดอกบัว อย่างสม่ำเสมอ

2. เมตตาพรหมวิหาร คือความเมตตาที่แผ่ไปสู่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเงื่อนไข แผ่ความรักให้เพราะรักไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ประดุจบิดามารดาที่มอบความรักและทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตแก่ลูกได้ ความรักของคนทั่วไปที่มีต่อกันย่อมมีวันหมดรัก ถ้าเงื่อนไขใดๆ เข้ามาทำให้ความรักหมดอายุสะดุดหยุดลง แต่ความรักของบิดา มารดา ไม่มีวันหมดอายุ แม้อายุขัยสิ้นแล้ว แต่ยังรักกันได้ข้ามภพข้ามชาติต่อไป

3. อสุภกัมมัฏฐาน เป็นกัมมัฏฐานสำคัญ ที่เป็นเครื่องมือถอดถอนราคะ คือความรักปักใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส การถูกต้องสัมผัส และธรรมารมณ์ อันได้แก่ การนำรูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส มาน้อมนึก จนหลงรักปักใจอย่างลึกล้ำยากแก่การถอดถอน พระโบราณจารย์มองเห็นโทษแห่งราคะที่กลัดกลุ้มรุมเร้าใจอันเป็นเหตุให้ ลุ่มหลง ห่วง หวง และหึง ถึงกับฆ่าทำลายล้าง คนที่มาชิงของหรือคนรักของตน หรือหากไม่สมปรารถนาในรักก็มักเจ็บปวดถึงกับฆ่าตัวตาย ซึ่งมีให้เห็นตามข่าวจากสื่อต่างๆ บ่อยๆ

จึงได้แนะนำให้เจริญอสุภกัมมัฏฐานเพื่อเห็นความจริงของสิ่งเหล่านั้นว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มองอย่างผิวเผินว่างดงาม น่าใคร่ น่าพอใจ น่าจับต้องสัมผัส แต่เมื่อมองลึกเข้าไปถึงที่ตั้ง สีสัณฐาน แต่ละอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นของปฏิกูลได้ในเวลาไม่นาน ผมที่ขึ้นตามศีรษะดูสลวยสวยงาม เพราะอยู่ถูกสถานที่ แต่ถ้าเปลี่ยนมาอยู่ในถ้วยหรือชามแกงจืด หรือโรยบนข้าวสวย แกงจืด หรือข้าวสวยจานนั้น จะดูเป็นปฏิกูลทันที จมูกที่โด่งโดยธรรมชาติหรือผ่าตัดตกแต่งเสริมดูดี แต่ถ้ามีน้ำมูกเขียวๆ ออกมาเกาะอยู่เป็นประจำ ความงามของจมูกจะหายไปทันที ผมและขนถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางจะดูดี แต่ถ้าอยู่ผิดที่จะปฏิกูลทันที เล็บที่ตกแต่งทาสีอย่างงาม แต่ถ้านำมาประดับประดาในจานข้าวมันไก่หรือข้าวหมูแดงจะรู้สึกปฏิกูลทันที ฟันที่งามวาวแววเหมือนไข่มุก แต่เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วมีเศษเนื้อเศษผักติดตามซอกฟันจะนำออกมาใส่จานรับประทานใหม่ก็จะรู้สึกได้ถึงความปฏิกูล ผิวหนังที่มีสีขาวหรือเหลืองตามชาติพันธุ์น่ารัก น่าลูบไล้ น่าใคร่ น่าดู ถ้าไม่อาบน้ำหรือขัดสีเพียงวันหรือสองวันจะกลายเป็นของปฏิกูลไปทันที การพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยสภาวะปฏิกูลเช่นนี้จะบรรเทาความเร่าร้อนรุนแรงแห่งราคะและตัณหาลงไปได้บ้าง ช่วยให้ใจได้ดำรงอยู่อย่างปกติ ไม่ฟู เพราะได้สิ่งที่น่ายินดี น่ารัก น่าใคร่ ไม่แฟบ เพราะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่น่ายินดี น่าใคร่ น่าพอใจ

4. มรณสติ ระลึกถึงความตายอยู่เป็นประจำ การระลึกถึงความตาย เป็นกัมมัฏฐานประเภทหนึ่ง การระลึกถึงความตายจะช่วยให้ผู้ระลึกเกิดความไม่ประมาทในชีวิต ในวัย ในความไม่มีโรคไม่มีภัย เพราะความตายติดตามมนุษย์ทุกคนอยู่ทุกย่างก้าว ความตายไม่มีกำหนดตายตัวว่าจะมาถึงตอนไหน แต่ความตายติดตามมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดมา ว่าโดยภาษาธรรม เมื่อมีความเกิดก็ต้องมีความแก่ เมื่อมีความแก่ก็ต้องมีความตาย ติดตามมาอย่างใกล้ชิด ชีวิตพร้อมจะยุติลงได้ทุกเมื่อไม่กำหนดตายตัว เพราะชีวิตเป็นอนัตตา ขอร้องไม่ได้ ห้ามปรามไม่ได้ จัดการไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ต้องเป็นไปตามวิถีที่ควรจะเป็น พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ผู้ไม่ประมาทจะคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ในการดำเนินชีวิตประจำวันหากไม่สามารถระลึกถึงความตายได้อยู่ทุกเมื่อ ก็ควรได้พิจารณาไว้บ่อยๆ ไม่ใช้ชีวิตเพลิดเพลินจนลืมตาย จะได้ไม่ลืมตัวและลืมตาย จะได้เร่งรีบทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่า คุ้มเวลา ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

เข้าพรรษาผ่านไปได้ 1 เดือนแล้ว คิดว่าท่านสาธุชนผู้อ่านทั้งหลายคงขวนขวายในการบำเพ็ญบุญ ให้ทาน สมาทานศีล และเจริญภาวนา อาตมาเลยนำเรื่องภาวนาวิธีแบบนี้มาฝาก หากอ่านแล้วเข้าใจถูกจริตทดลองทำแล้วเจริญก้าวหน้าดีขอมอบเป็นของขวัญในวาระเข้าพรรษาก็แล้วกัน แต่หากอ่านแล้วไม่ถูกจริต ทดลองทำดูแล้วไม่ช่วยให้ภาวนาก้าวหน้าก็เพียงอ่านผ่านๆ ไป อาตมาก็ปลื้มใจยิ่งนักแล้ว สุขสันต์ฤดูกาลเข้าพรรษาทั่วหน้าทุกท่านเทอญ

Leave a comment