ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05121011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608 |
บัญชีชาวบ้าน
วิโรจน์ เฉลิมรัตนา virojch@yahoo.com
เมื่อถูกตรวจสอบภาษี
กรมสรรพากร จะเข้าตรวจสอบกิจการต่างๆ หมุนเวียนกันไป บางครั้งเข้าตรวจสอบเนื่องจากมีการยื่นแบบขอคืนภาษีไว้ บางครั้งเข้าตรวจสอบเพื่อยืนยันรายการจากผู้ประกอบการรายอื่น บางครั้งเข้าตรวจสอบเนื่องจากกิจการเข้าเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรตั้งไว้ เช่น มีผลขาดทุนต่อเนื่องทุกปี ทั้งที่มีตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่ากิจการมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เป็นต้น บางกิจการถูกตรวจสอบทุก 2-3 ปี หรือกิจการบางแห่งอาจจะยังไม่เคยถูกตรวจสอบภาษีก็มี
อย่างไรก็ตาม กิจการพึงตระหนักว่า การที่กรมสรรพากรส่งจดหมายขอข้อมูล หรือส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบนั้น ส่วนใหญ่แล้วต้องมีต้นสายปลายเหตุเสมอ เมื่อถูกตรวจสอบภาษี กิจการจึงควรทำความเข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆ จากจดหมายแจ้งจากกรมสรรพากรเป็นจุดแรก และควรพยายามอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์
โดยปกติกรมสรรพากรจะเกริ่นนำในจดหมาย ในลักษณะคล้ายๆ กัน โดยใช้ถ้อยคำว่า เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการของกรมสรรพากรจะขอให้กิจการให้ข้อมูลดังต่อไปนี้ และตามด้วยรายการเอกสารที่จะขอตรวจสอบจากกิจการ เราอาจจะไม่สามารถทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงจากถ้อยคำในจดหมาย แต่เราอาจจะต้องใช้วิธีคิดระหว่างบรรทัดและคาดเดาจุดประสงค์ของการตรวจสอบจาก LIST ของข้อมูลที่กรมสรรพากรร้องขอ
เอกสารในเบื้องต้นที่กรมสรรพากรมักจะขอ ได้แก่ งบการเงิน งบทดลอง แบบนำส่งภาษี รายละเอียดประกอบรายการบัญชีต่างๆ รายละเอียดทรัพย์สิน รายงานการขาย รายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย หนังสือรับรองการจดทะเบียนของบริษัท ฯลฯ ตามมาด้วยกำหนดนัดหมายให้กิจการเข้าพบ เพื่อนำส่งเอกสารและให้ข้อมูลเพิ่มเติม (กรมสรรพากร เรียกว่า “ให้ปากคำ”)
โดยทั่วไป กิจการควรวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ เพื่อทราบแนวทางและวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและเตรียมตัวในการชี้แจงให้ข้อมูลแก่กรมสรรพากร ดังต่อไปนี้
1. จับประเด็นว่า กรมสรรพากรต้องการตรวจสอบภาษีประเภทใด ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเป็นการเข้าตรวจสอบสภาพกิจการโดยทั่วไป
2. การตรวจสอบสภาพกิจการโดยทั่วไปนั้น กรมสรรพากรต้องการทราบว่า กิจการมีตัวตนจริง มีการดำเนินธุรกิจและมีสถานประกอบการอย่างไร มีจำนวนพนักงานเท่าใด ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง นำส่งภาษีอย่างไร งบการเงินของกิจการมีหน้าตาอย่างไร กิจการมีการเสียภาษีหรือมีผลขาดทุน ข้อมูลเหล่านี้คือ ข้อมูลเบื้องต้นที่กรมสรรพากรจะทำความรู้จักกิจการ และสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ประเด็นการเสียภาษีในขั้นตอนต่อไป
3. หากเป็นการตรวจสอบภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจสภาพกิจการจะทำให้กรมสรรพากรทราบว่า กิจการนั้นมีตัวตนและประกอบกิจการจริง ไม่ใช่กิจการที่ตั้งขึ้นลอยๆ หรือเป็นกิจการที่ตั้งขึ้นเพื่อออกใบกำกับภาษีอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น หากกิจการประกอบธุรกิจโดยสุจริต ก็ย่อมไม่ต้องกังวลและควรให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร
4. กรณีตรวจสอบภาษีเงินได้ โดยส่วนใหญ่ กรมสรรพากรจะขอข้อมูลเบื้องต้นคือ แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี หรือ ภ.ง.ด. 50 ประกอบกับงบการเงิน งบทดลอง ของปีเดียวกัน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของแบบภาษีที่กิจการนำส่งว่าเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ กิจการมีการขอคืนภาษีหรือไม่ กิจการมีผลกำไรหรือขาดทุนและมีผลการดำเนินงานเปรียบเทียบย้อนหลังอย่างไร
5. หลักการเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย ใช้หลักการประเมินภาษีด้วยตนเอง (Self Assessment) ดังนั้น กิจการจะเป็นผู้ปิดบัญชีและกรอกแบบเพื่อเสียภาษีและนำส่งต่อกรมสรรพากร การที่กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบและนำตัวเลขไปตรวจวิเคราะห์ก็เพื่อสอบยันว่า การประเมินตัวเลขของกิจการเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้น สมเหตุสมผลและถูกต้อง และเป็นไปโดยสุจริตหรือไม่
6. ผู้มีหน้าที่ให้ข้อมูลแก่กรมสรรพากรควรประกอบด้วย ผู้ที่ทราบการดำเนินการทางธุรกิจของกิจการเป็นอย่างดี และผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจตัวเลขทางบัญชีของกิจการ โดยทั่วไปกิจการอาจต้องมีผู้ให้ข้อมูล 2 คน คนหนึ่งเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารที่ทราบกิจกรรมทางธุรกิจของกิจการเป็นอย่างดี และอีกคนหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของกิจการ
7. การไปพบเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ควรมีการเตรียมข้อมูลก่อนไปพบ ดังนั้น หากกำหนดนัดกระชั้นมาก กิจการสามารถขอเลื่อนเวลานัดหมายได้ ไม่ควรไปพบเจ้าหน้าที่โดยข้อมูลไม่พร้อม นอกจากนี้ ในช่วงเวลาปกติที่ยังไม่ถูกตรวจสอบภาษี กิจการควรมี LIST ข้อมูลที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ หากถูกนัดหมายหรือขอข้อมูลจากกรมสรรพากร โดยจัดทำไปพร้อมๆ กับการปิดบัญชีปกติ เช่น กิจการควรทำรายงานกระทบยอดขายตามภาษีเงินได้ กับยอดขายตามเกณฑ์ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งยอดขายของสองแหล่งข้อมูลนี้อาจแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากเงื่อนไขการรับรู้รายได้ทางบัญชีกับการรับรู้รายได้ของภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น การทำข้อมูลเตรียมไว้เลย จะช่วยให้ไม่ต้องย้อนกลับมารื้อฟื้นข้อมูลในอดีต ซึ่งผู้จัดทำข้อมูลอาจหลงลืมไปแล้วได้
8. กิจการควรวิเคราะห์ประเด็นข้อสงสัยของกรมสรรพากรในประเด็นต่างๆ ไว้บ้าง เพื่อที่จะได้ทราบว่า หากกิจการมีประเด็นความเสี่ยงในเรื่องใด จะได้วางแผนขจัดความเสี่ยงเหล่านั้นออกไป ก่อนที่จะเกิดปัญหา จะช่วยให้ลดภาระและประเด็นความผิดที่จะเกิดขึ้นเวลาถูกตรวจสอบได้ เช่น หากกิจการมีการขายแบบ CONSIGNMENT หรือฝากขาย โดยรูปแบบการออกเอกสารอาจจะยังไม่ออกใบกำกับภาษีเมื่อส่งมอบสินค้าไปยังผู้รับฝากขาย (ซึ่งกฎหมายภาษีระบุว่าต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการส่งของ) แต่กิจการจะออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการขายสินค้าให้ลูกค้าแล้ว (ไม่ใช่ออกตอนส่งของให้ผู้รับฝากขาย) กิจการจะมีความเสี่ยง เรื่อง TAX POINT ที่ไม่ถูกต้อง กิจการอาจวางแผนปรับเปลี่ยนขั้นตอนเพื่อรองรับระบบการขายที่ไม่ทำให้เกิดประเด็นความผิดในการรับรู้รายได้ หรืออาจแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จ โดยส่งมอบสัญญาฝากขายให้กรมสรรพากร เพื่อขออนุมัติรายการฝากขายไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะทำให้ TAX POINT เกิดขึ้นตามลักษณะการประกอบธุรกิจฝากขาย ไม่ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อส่งของให้ผู้รับฝากขายได้ เป็นต้น
นโยบายการเสียภาษีโดยสุจริต เป็นสิ่งที่จะช่วยให้กิจการสามารถชี้แจงและขออนุโลมเรื่องเบี้ยปรับเงินเพิ่มได้ ในกรณีมีข้อผิดพลาดที่สุดวิสัย เนื่องจากเป็นเรื่องปกติในการประกอบกิจการที่อาจมีประเด็นข้อผิดพลาดในการรับรู้รายการเพื่อเสียภาษี แต่หากกรมสรรพากรตรวจพบว่า กิจการมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี หรือมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น ขายใบกำกับภาษี หรือออกใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายโดยเจตนาแล้ว เป็นการยากที่จะเจรจาขอประนีประนอมกับเจ้าหน้าที่ และยังมีโทษทางกฎหมาย ทั้งโทษปรับและอาญาอีกด้วย และตั้งแต่มีกรณีที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากรถูกพิพากษาโทษฐานปล่อยปละละเลยให้มีการโกงภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรย่อมต้องใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่มากยิ่งขึ้น
หน้าที่การเสียภาษีของกิจการนั้นมาพร้อมกับการทำธุรกิจ เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง และในยุคที่ระบบข้อมูลการตรวจสอบภาษีอากรพัฒนาก้าวหน้า สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยปลายนิ้ว การทำบัญชีสองชุดหรือการพยายามหลีกเลี่ยงภาษีเป็นสิ่งที่ตกยุคไปแล้ว และให้ผลร้ายที่ไม่คุ้มค่า และเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง การประกอบธุรกิจในยุคนี้ผู้ประกอบการควรดำเนินการโดยชัดเจน โปร่งใส และพยายามปฏิบัติโดยสุจริต การปรึกษาผู้รู้ทางภาษีอากรเพื่อช่วยให้การดำเนินการทางภาษีถูกต้อง จะช่วยเป็นเกราะคุ้มกันแก่กิจการได้ดีที่สุด